ตำรวจเค้นสอบ “ก้อย” ปมหนี้ 28 ล้าน คดี “เสี่ยสมยศ” อุจฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ!!!

โพสโดย : admin | วันที่ : 1 July 2015
หมวดหมู่ : ย้อนรอยคดีสะเทือนขวัญ, เรื่องน่าอ่าน

ตำรวจเค้นสอบ “ก้อย” ปมหนี้ 28 ล้าน คดี “เสี่ยสมยศ” อุจฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ!!!

1

กลายเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญเป็นที่สนใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ กับคดียิง “เสี่ยสมยศ” ที่มีปมฆาตกรรมซับซ้อนหลายคดี ทั้งคดีหนี้ร่วม 28 ล้านจากการโกงของคนสนิท รวมทั้งอาจมีปมของคาเฟ่ และปมของผู้ได้รับกองมรดกร่วมอยู่ด้วย ความคืบหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามได้เลยค่ะ

เมื่อคืนวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายสมยศ สุธางค์กูร ทนายความและอดีตเจ้าพ่อคาเฟ่ชื่อดัง “พระราม 9 คาเฟ่” ถูกคนร้ายบุกกระหน่ำยิงด้วยอาวุธปืนลูกโม่ ไม่ทราบขนาดจำนวน 4 นัด กระสุนเข้าที่กลางศีรษะ โหนกแก้มขวา หัวไหล่ซ้าย และกลางหลัง เสียชีวิตภายในลานจอดรถร้านเฮงหูฉลาม ขณะกำลังจะขับรถเบนซ์หลังจากรับประทานอาหารร่วมกับภรรยา ปิดตำนานเจ้าพ่อคาเฟ่ผู้โด่งดังเมืองไทย

ตำรวจตัดสินใจเค้นสาวก้อย คนสนิทเสี่ยสมยศ เพื่อคลี่สาเหตุการตาย โดยเจ้าตัวรับว่า ยักยอกเงินวิ่งเต้นคดีความของสำนักงานทนายความไป 11 ล้านจริง รวมกับเงินโกงพนันไพ่เก้าเกอีก 3 ล้าน รวมเป็น 14 ล้าน โดยมี “ไอ้เล็ก” สามีเป็นคนต้นคิด แต่สุดท้ายเสี่ยสมยศ รู้เข้าจึงโกรธมากพร้อมตามทวงหนี้ถึง 28 ล้าน อีกทั้งเสี่ยสมยศยังขู่อีกว่า หากไม่จ่ายจะให้เสธ.มาอุ้ม

ตำรวจยังไม่ตัดประเด็นค่าวิ่งเต้นคดี 25 ล้านบาท และซื้อขายที่ดินย่านพระราม 9 เผยพิรุธ 2 คนร้ายมาดักรอที่ร้านตั้งแต่ 5 โมงเย็น สั่งตรวจสอบโทรศัพท์เสี่ยสมยศก่อนตาย เพื่อว่าดูมีใครติดต่อหรือชี้เป้าหรือไม่ พร้อมเช็กวงจรปิดหาเส้นทางหนีคนร้าย ฝ่ายเมียและครอบครัวของเสี่ยสมยศร่ำไห้รับศพ เผยก่อนหน้าสามีเคยบอกมีความขัดแย้ง แต่ไม่นึกจะถึงขั้นฆ่ากัน

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ตำรวจหลายฝ่ายร่วมกันประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าคดีสังหารนายสมยศ ตั้งแต่ตรวจสอบ สังเกตที่เกิดเหตุและวิเคราะห์หาหลักฐานพยานต่างๆ หาเบาะแสของคนร้ายจากกล้องวงจรปิด รวมทั้งตรวจหาเส้นทางหลบหนีของคนร้าย เบื้องต้นพบว่าในบริเวณจุดเกิดเหตุมีกล้องวงจรปิดของกทม. เพียงแค่ 3 ตัวเท่านั้น ซึ่งตรวจสอบแล้วยังไม่พบภาพคนร้าย ทำให้ต้องรอตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดของบริษัทเอกชนต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุต่อไป

สำหรับเบาะแสของคนร้าย จากการสอบ สวนพยานแวดล้อมรายหนึ่ง ให้การว่า “เห็นคนร้ายทั้งสองคนมาดักรอผู้ตายในที่เกิดเหตุตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 น. โดยคนร้ายคนแรกซึ่งทำหน้าที่เป็นมือปืน จะสวมหมวกแก๊ปปิดหน้าของตัวไว้ตลอดเวลา และนั่งรออยู่ที่โต๊ะม้าหิน ส่วนคนร้ายอีกคน จะสวมหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ และนั่งคร่อมรถจักรยาน ยนต์ตลอดเวลา พยานรายนี้สงสัย จึงได้เข้าไปสอบถาม คนร้ายก็บอกว่า “มานั่งรอนาย” ทำให้พยานไม่ได้สอบถามอะไรต่อ”

ในประเด็นที่คนร้ายมานั่งรอเหยื่อล่วงหน้าก่อนจะลงมือถึง 2 ชั่วโมง ทีมสืบสวนตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะมีตัวชี้เป้า ที่คอยรายงานความเคลื่อนไหวของผู้ตาย ให้ทีมมือปืนตลอดเวลา เนื่องจากตามปกติแล้ว ผู้ตายมักจะมานั่งกินอาหารที่ร้านดังกล่าว ประมาณ 2-3 เดือนครั้ง ซึ่งก็ตรงกับการสอบสวนนางรัศมี สุธางค์กูร ภรรยาของผู้ตายที่ให้การว่าก่อนเดินทางออกจากโรงพยาบาลรามคำแหง ที่ผู้ตายไปตรวจร่างกายเป็นประจำ ก็มีโทรศัพท์ เข้ามาหาผู้ตาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ซึ่งทีมสืบสวนกำลังตรวจสอบว่าก่อนเกิดเหตุมีผู้ใดโทร.เข้ามาหาผู้ตายบ้าง บุคคลใดที่น่าสงสัยที่สุด ก็จะเรียกตัวมาสอบปากคำต่อไป

ส่วนประเด็นสังหาร ทางทีมสืบสวนของกองปราบปราม ยังคงตั้งปมความขัดแย้งไว้จากคำให้การของนางรัศมี ที่ให้การไว้ว่าน่าจะเกิดจากปัญหา 3 เรื่อง ที่ผู้ตายกำลังประสบอยู่ในขณะนี้

1 หนี้สินการพนันที่พบว่ามีการโกงการพนันเป็นเงิน 4 ล้านบาท

2 เงินค่าจ้างวิ่งเต้นล้มคดี 25 ล้านบาท

3 ปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินเช่าแห่งหนึ่งย่านถนนพระราม 9 ที่ผู้ตายกำลังมีปัญหากับเจ้าของที่ดิน เรื่องค่ารื้อถอน

โดยมีรายชื่อกลุ่มบุคคลในข่ายต้องสงสัยในครั้งนี้ประมาณ 2-3 กลุ่ม ซึ่งตำรวจยังไม่สามารถจะเปิดเผยได้ ในกลุ่มนี้อาจมีคนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังการสังหารในครั้งนี้ ด้วยก็เป็นได้

พล.ต.อ.เรืองศักดิ์กล่าวว่า “คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญเป็นที่สนใจของประชาชน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เน้นย้ำต้องติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด”

ขณะนี้มีการแบ่งชุดคลี่คลายคดี 2 ชุดหลัก ชุดสืบสวนและสอบสวนเร่งดำเนินการ โดยความคืบหน้าอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นผลดีต่อรูปคดี ด้านการสืบสวนมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากจุดเกิดเหตุ เส้นทางหลบหนี และเส้นทางก่อนลงมือ ขณะนี้พบบางส่วนมีความชัดเจนมากพอสมควร ชุดสืบสวน ตรวจสอบที่บ้านของนายสมยศพบเอกสารที่ผู้ตายมีการเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ขณะนี้ตั้งประเด็นไว้ 3 เรื่อง

1.การโกงและบาดหมางกันเรื่องการพนันมียอดเงิน 4 ล้านบาท

2.อ้างหรือพาดพิงถึงเรื่องการช่วยเหลือเกี่ยวกับคดี วงเงินถึง 25 ล้านบาท

3.ที่ดินแปลงหนึ่งย่านพระราม 9 ที่มีการให้เช่า ทุกประเด็นต้องติดตามผู้ที่เกี่ยวข้องมา สอบสวน

พล.ต.อ.เรืองศักดิ์กล่าวว่า การสืบสวนและสอบสวนต้องทำคู่ขนานกันไป ทั้งมือปืนผู้พา หลบหนี และผู้สนับสนุน เพื่อจะเชื่อมโยงไปสู่ผู้บงการ ผู้สั่งการหรือจ้างวาน นอกจากนี้ต้องตรวจสอบข้อมูลภายในครอบครัวของ ผู้ตาย คือ ภรรยา และลูก 2 คน ที่เกิดกับภรรยาปัจจุบัน และอดีตภรรยา เรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินทรัพย์สมบัติ รวมถึงการประกันชีวิตใครได้ผลประโยชน์ ต้องมีการตรวจสอบกรณีดังกล่าวทั้งหมดอย่างละเอียดก่อนสรุปว่า การสังหารมาจากเรื่องอะไร รวมทั้งสืบสวนว่ามีใครรู้ว่านายสมยศ มาที่ร้านเฮงหูฉลามหรือไม่ โดยตรวจสอบการติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อหาผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตรวจสอบหาที่พักอาศัยของคนร้ายก่อนมาดักรอเหยื่อแล้วลงมือสังหาร

พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 กล่าวว่า พนักงานสอบสวนเชิญพยานไปสอบปากคำ และสเกตช์ภาพคนร้ายแล้ว เบื้องต้นคนร้ายก่อเหตุมี 2 คน ใช้รถจยย.เป็นพาหนะ สีแดง-ดำ ยี่ห้อรถยังไม่ชัดเจน มือปืนไม่ได้สวมหมวกกันน็อกลงมือยิง ขณะผู้ตายกำลังก้าวขึ้นรถ คนร้ายวิ่งเข้าไปยิงเลย 5 นัด ระยะห่างประมาณ 2 เมตร จากนั้นก็วิ่งไปซ้อนท้ายรถจยย.ที่เพื่อนรอขี่พาหลบหนีไป

ส่วนกรณีรถเบนซ์ผู้ตายมีร่องรอยเชี่ยวชนมีการนำเทปปิดไว้ เกิดก่อนหน้านี้ไม่เกี่ยวข้องคดี ตนเชื่อว่านายสมยศรู้ตัวล่วงหน้าว่ามีการถูกปองร้าย แต่อาจจะระมัดระวังน้อยไปหน่อย นายสมยศไม่มีคนติดตามและไม่ค่อยออกจากบ้านไปไหน โดยภรรยาจะเป็นผู้ขับรถให้

เมื่อถามว่า นายสมยศเลิกธุรกิจคาเฟ่แล้ว มีรายได้อื่นหรือไม่ พล.ต.ต.ชวลิตกล่าวว่า มีรายได้เก็บค่าเช่าที่ดินแถวย่านพระราม 9 ซึ่งมีอยู่หลายแปลง ถามว่า นายสมยศติดการพนันมากแค่ไหน พล.ต.ต.สมยศตอบว่า ทราบว่ามีการเล่นแต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเล่นมากแค่ไหน

ที่สน.คลองตัน พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ ร่วมสอบปากคำนางศุภนิดา นรรัตน์ อายุ 48 ปี หรือ “ก้อย” ชาวอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นคนสนิทของสมยศและเป็นผู้ประสานงานด้านคดีระหว่างนายสมยศ และลูกความ โดยนายศุภนิดาเผยว่า รู้จักสนิทสนมกับนายสมยศมาเป็นเวลา 20 ปี โดยก่อนหน้านี้นายสมยศให้เงินตนมา 1 ล้านบาท เพื่อไปจัดการเรื่องคดี แต่ตนกลับนำเงินไปให้นายเล็ก สามี เอาไปเล่นพนัน โดยที่นายสมยศไม่ทราบเรื่อง

“ก้อย” กล่าวว่า “ต่อมานายสมยศจ่ายเงินให้ไปวิ่งเต้นเรื่องคดีอีก 10 ล้านบาท ตนก็เอาไปให้นายเล็กอีก โดยไม่เคยนำเงินไปจัดการเรื่องคดี จากนั้นนายเล็กก็วางแผนให้ตนชักชวนนายสมยศมาเล่นการพนันที่บ้านพรรคพวก ย่านลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยนัดแนะจะรุมกินโต๊ะนายสมยศ จนเสียพนันไปกว่า 3 ล้านบาท จากนั้นตนก็ไปสารภาพกับนายสมยศว่าเงิน 11 ล้านบาทที่ให้ ไม่เคยเอาไปวิ่งเต้นคดี แถมยังหลอกไปเล่นพนันอีก ทำให้นายสมยศโมโหมาก พร้อมสั่งให้ตนไปทวงหนี้จากนายเล็กเป็นเงิน 28 ล้านบาท แต่นายเล็กปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหนี้มากขนาดนั้น นายสมยศจึงติดต่อเสธ.คนหนึ่งให้ไปทวงเงิน มีการนัดคุยกันวันที่ 25 มิ.ย. แต่นายเล็กไม่ไป

2

จนกระทั่งเมื่อประมาณวันที่ 26-27 มิ.ย. นายสมยศให้เสธ.คนดังกล่าวไปอุ้มนายเล็ก หากไม่ยอมคืนเงิน จนตนต้องเอาที่ดินที่ชุมพร ไปชดใช้แทน แต่ยังติดปัญหาที่นายเล็กยังไม่ยอมเซ็นโอนให้

รายงานฝ่ายสืบสวนระบุว่า สำหรับนางก้อย กับนายสมยศ มีความสนิทสนมกัน และทำงานด้วยกันมาเกือบ 20 ปี โดยนางก้อยจะทำหน้าที่เป็นนายหน้าคอยเคลียร์คดีกรณีพิพาทให้กับผู้ตายเมื่อครั้งมีชีวิต ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังพบข้อมูลกลุ่มบุคคลที่มีความสนิทสนมกับผู้ตายอีก 3 คน ประกอบไปด้วย นายเล็กซึ่งเป็นสามีของนางก้อย นายปีเตอร์ และนางเรียมซึ่งเป็นน้องสาวของนายเล็ก โดยทั้งสามคนนี้รู้จักและสนิทสนมกับนางก้อยเป็นเครือญาติกัน

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าปมสังหารครั้งนี้น่าจะเป็นเรื่องกรณีหักหนี้ 4 ล้านบาท เนื่องจากพบข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ผู้ตายได้เล่นการพนันเก้าเก กับนางก้อย นายเล็ก นายปีเตอร์ และนางเรียม ต่อมาปรากฏว่า ทั้งสี่คนร่วมกันโกง ก่อนถูกนายสมยศจับได้ ซึ่งหลังจากนั้น นายสมยศแสดงความไม่พอใจจนถึงขั้นขู่จะทำร้าย และขู่อุ้ม ให้นำเงิน 4 ล้านบาทมาให้ กระทั่งกลุ่มคู่อริต้องนำโฉนดที่ดินมูลค่ากว่า 4 ล้านบาทมา ขณะเดียวกันระหว่างที่มีปัญหานั้นนางเรียมได้ขู่นายสมยศว่าจะหามือปืนมายิงเช่นกัน

รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะเดียวกันชุดสืบสวน ตรวจสอบพบว่า รถเบนซ์ทะเบียน ฌร 3636 กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่ใช่ของนายสมยศ แต่เป็นของพ.ต.ท.หญิงรายหนึ่ง ซึ่งพบความเชื่อมโยงว่าพ.ต.ท.หญิงคนนี้กับสามีซึ่งเป็นนายตำรวจยศพ.ต.ท.ประกอบธุรกิจ ด้านบันเทิง แล้วเช่าที่ดินของนายสมยศเพื่อประกอบกิจการ ทำให้สามี-ภรรยาคู่นี้ นำรถเบนซ์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาให้นายสมยศใช้เป็นหลักประกัน โดยเจ้าหน้าที่จะสืบสวนต่อไปว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับการตายของนายสมยศหรือไม่ แต่ในชั้นนี้ยังไม่ให้น้ำหนักมากนัก

เมื่อเวลา 11.30 น. ที่สถาบันนิติเวชวิทยา นางรัศมี สุธางค์กูร อายุ 53 ปี ภรรยาของเสี่ยสมยศ และน.ส.ณัฐธิดา สุธางค์กูร อายุ 25 ปี ลูกสาว พร้อมด้วยครอบครัว เดินทางเข้ารับศพนายนายสมยศ ไปบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนาที่วัดเทพลีลา ศาลา 2 เขตบางกะปิ และจะทำพิธีฌาปนกิจในวันอาทิตย์ที่ 5 ก.ค. ทั้งนี้ก่อนนำศพไปวัด จะแวะทำพิธีอัญเชิญวิญญาณตรงจุดที่นายสมยศถูกยิงเสียชีวิตบริเวณลานจอดรถร้านเฮงหูฉลาม ทั้งนี้แพทย์นิติเวชระบุสาเหตุการเสียชีวิตของนายสมยศว่า บาดแผลเนื่องจากกระสุนปืนทำลายสมอง และตับ

นางรัศมียังอยู่ในอาการเศร้าโศกและร้องไห้ ตลอดเวลาเปิดเผยทั้งน้ำตาว่า “ร้านเฮงหูฉลามเป็นร้านที่ครอบครัวไปทานกันประจำ โดยก่อน เกิดเหตุไม่มีลางสังหรณ์อะไร แต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้นายสมยศมาเล่าให้ฟังและมีการปรึกษากันว่า มีปัญหาหลายเรื่องและมีศัตรูที่ขัดแย้งรุนแรง และตนก็เตือนให้ระวังตัวไว้ เนื่องจากมีปัญหาหนักๆ คือ มีคนยืมเงินไป และมีการส่งคนไปทวงเงินคืนแต่ไม่ได้รับ ส่วนประเด็นที่มีการข่มขู่หรือไม่นั้น นายสมยศ ไม่เคยเล่าให้ฟัง”

เมื่อเวลา 19.00 น. ที่ศาลา 2 วัดเทพลีลา สถานที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพ นายสมยศ สุธางค์กูร คืนนี้เป็นคืนแรก ภายในงานมีเพียงญาติและคนสนิท ร่วมฟังสวดพระอภิธรรมเท่านั้น ทั้งนี้จะมีการสวดอภิธรรมศพไปถึงวันที่ 4 ก.ค. และจะฌาปนกิจวันที่ 5 ก.ค. เวลา 17.00 น.

ปมประเด็นการสังหาร และสาเหตุที่แท้จริงในการสังหารเสี่ยสมยศ สุธางค์กูร เจ้าของคาเฟ่ชื่อดังจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป แต่เชื่อแน่ว่า ผู้ที่ลงมือสังหารครั้งนี้ จะต้องไม่รอดพ้นจากผลกรรมที่ได้ก่อไว้อย่างแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูล และเครดิตภาพจาก ข่าวสด

แสดงความคิดเห็น