รวมคนดัง “ติดคุก” “ต้องคำพิพากษา” ตลอดปี 2559

โพสโดย : admin | วันที่ : 12 January 2017
หมวดหมู่ : ย้อนรอยคดีสะเทือนขวัญ, เรื่องน่าอ่าน

รวมคนดัง “ติดคุก” “ต้องคำพิพากษา” ตลอดปี 2559

สรยุท เข้าคุก

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา

29 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าว กรรมการผู้จัดการ บริษัทไร่ส้ม และเจ้าหน้าที่บริษัท รวมทั้งนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท เป็นจำเลย

โจทก์ ระบุว่าช่วงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 – 28 เมษายน 2549 นางพิชชาภา ได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการคุยคุ้ยข่าว ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลา เพื่อเรียกเก็บเงินจากบริษัทไร่ส้ม 17 ครั้ง ทำให้ อสมท เสียหาย 138 ล้านบาทเศษ และยังเรียกรับเงินกว่า 600,000 บาท จากนายสรยุทธ และพวก เป็นการตอบแทน

ศาลได้อ่านคำพิพากษาให้จำคุก นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทำความผิดตามที่ฟ้อง จำคุก 20 ปี ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน ปรับบริษัทไร่ส้ม จาก 120,000 ลดเหลือ 80,000 บาท ไม่รอลงอาญา ส่วนนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด จำเลยที่ 1 จำคุก 30 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ เหลือจำคุก 20 ปี

คดีนี้ ศาลให้ประกันตัว นายสรยุทธ และพรรคพวก ราคาประกัน 2 ล้านบาท ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ หลังจากนั้น พิธีกรฝีปากกล้าคนดัง ก็จำต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ และ เรื่องเด่นเย็นนี้ เนื่องจากขัดกับ “จริยธรรมในวิชาชีพ”

หญิงไก่ ไฮโซ ปลอม

หญิงไก่ ไฮโซปลอม ใส่ความสาวใช้

“หญิงไก่” หรือ นางมณตา หยกรัตนกาญ อายุ 56 ปี หลังแจ้งความจับ น้องก้อย สาววัย 17 ปี ข้อหาลักทรัพย์ 10 ล้านบาท จนเธอต้องสูญเสียอิสรภาพ เข้าไปอยู่ในบ้านปรานี นอกจากนี้ มารดาของเธอยังถูกดำเนินคดีด้วย

จากเบาะแสที่เธอแจ้ง มีทนายความคนหนึ่งแจ้งเกิดจากเหตุการณ์นี้ เขาคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือ “สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์” ได้เดินหน้าช่วยเหลือเหยื่อที่เจ้าตัวมั่นใจว่า “ไม่ได้รับความเป็นธรรม” กระทั่งทราบมาว่า มีบุคคลอื่นอีกที่เขาต้องยื่นมือช่วยเหลือ และน้องก้อยไม่ใช่รายแรกที่ถูกดำเนินคดีในลักษณะนี้ โดยเหยื่อที่ถูก นางมนตรา แจ้งความจับในข้อหาลักทรัพย์ ได้ทยอยออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริง

“หญิงไก่” ถูกเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหากลับเองทั้งหมดรวม 3 ข้อหา ประกอบไปด้วย แจ้งความเท็จ ค้ามนุษย์ และหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112 ซึ่งเหยื่อทุกคนที่ให้การกับตำรวจ เป็นเสียงเดียวกันว่า นางไก่ ชอบอ้างตัวว่าเป็น “คุณหญิง”

ปอ ประตูน้ำ

ปอ ประตูน้ำ คดีบุกรุกเข้าแผ้วถางทำลายป่า

“ปอ ประตูน้ำ” หรือ นายไพรจิตร ธรรมโรจน์พินิจ อดีตผู้กว้างขวาง วัย 75 ปี ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 12 ปี ปรับ 69,255,000 บาท

ปอ ประตูน้ำ ตกเป็นจำเลยความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเข้าแผ้วถาง ทำลายป่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันสร้างสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปในทะเลในเขตน่านน้ำไทย ในพื้นที่ หมู่ 6 ต.อ่าวใหญ่ อ.เมืองตราด รวมเนื้อที่กว่า 40 ไร่ เมื่อปี 2550 และถูกดำเนินคดีตามความผิดต่อ พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีความผิดจริง จึงทำการพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรม โดยสั่งลงโทษจำคุก 12 ปี และปรับ 69,255,000 บาท ซึ่ง นายไพรจิตร ได้ทำการยื่นอุทธรณ์พร้อมใช้หลักทรัพย์ขอประกันตัวชั่วคราว ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แก้คำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียว ให้จำคุก 5 ปี จนสุดท้ายโจทก์และจำเลยยื่นฎีกา

กระทั่ง ศาลฎีกา ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การถมดินลงไปในทะเล เป็นการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก จนยากที่จะเยียวยาแก้ไขให้มีสภาพกลับมาดีดังเดิมได้อีก แม้จะมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบางส่วนออกตามที่จำเลยอ้างแล้วก็ตาม แต่สภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเลก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป และมีการบุกรุกเนื้อที่ทะเลเป็นจำนวนมาก ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายโดยส่วนรวม กระทำอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดโทษจำคุกจำเลยเพียง 5 ปี ยังนับว่าเป็นโทษที่เบาเกินไป

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 12 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่อาจรอการลงโทษจำคุกได้ ซึ่งตอนนั้น นายไพรจิตร ถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดตราดอยู่ที่เรือนจำจังหวัดตราดแล้ว

สนธิ ลิ้มทองกุล

สนธิ ลิ้มทองกุล ทำเอกสารเท็จ ค้ำประกันกู้กรุงไทย

สนธิ ลิ้มทองกุล บุคคลสำคัญทางการเมือง ผู้มีบทบาทต่อประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแล้ว เขากลับต้องติดคุกในคดี ทำเอกสารเท็จ ค้ำประกันกู้แบงก์กรุงไทย…

6 กันยายน ศาลอาญา รัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ น.ส.ยุพิน จันทนา อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-4 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

ได้ร่วมทำสำเนารายงานการประชุมของกรรมการบริษัทที่เป็นเท็จว่ามีมติให้ บริษัท เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท เดอะ เอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือหุ้น กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รวม 6 ครั้ง จำนวน  1,078 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 1 และ 3 ไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุมกรรมการบริษัท

จำเลยทั้ง 4 ยังร่วมกันยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงตัดทอนทำบัญชีไม่ตรงกับความเป็นจริง และจำเลยทั้ง 4 ยังไม่ได้นำภาระการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวซึ่งถือเป็นรายการที่ทำให้รายได้ของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ซึ่งต้องแสดงรายการไว้ในงบการเงินประจำปี 2539-2541 และจะต้องนำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้รับ รวมทั้งเป็นการลวงให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้รับรู้ถึงการค้ำประกันหนี้ดังกล่าว

ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพ จึงพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นเวลา 85 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยที่ 4 กระทำความผิดรวม 13 กระทง ลงโทษกระทงละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 65 ปี จำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นเวลา 42 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 6 เดือน และจำเลยที่ 4 จำคุก 32 ปี 6 เดือน แต่โทษสูงสุดในความผิดฐานดังกล่าว กฎหมายกำหนดให้ลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี จึงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3 และ 4 คนละ 20 ปี จำเลยที่ 2 ไม่ติดใจอุทธรณ์

ต่อมา วันที่ 7 ส.ค.57 ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ตามที่ศาลชั้นต้น ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1, 3, 4 มีเจตนาทุจริต อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกประเด็น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ ศาลเห็นว่า บริษัทของจำเลยเข้าตลาดหลักทรัพย์ต้องมีหลักธรรมาภิบาล หากกรรมการบริษัทกระทำผิดเสียเอง ย่อมสร้างผลกระทบต่อบริษัท ขณะที่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดร้ายแรง ส่งผลกระทบจำนวนมาก ที่จำเลยอ้างถึงคุณงามความดียังไม่เพียงพอที่จะให้รอการลงโทษได้

ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษมานั้นชอบแล้ว

ตู่ เสื้อแดง

ถอนประกัน “ตู่” ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำทันที เพราะผิดเงื่อนไขการประกันตัวคดีก่อการร้าย

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงฝีปากกล้า เป็นหนึ่งใน จำเลยร่วมในคดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายรวม ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ในศาลอาญา โดยนอกจากนายจตุพรแล้ว ยังมีเพื่อนๆ อีกหลายคน อาทิ นายวีระ หรือนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ รวมถึง นายนิสิต สินธุไพร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย

เมื่อวันที่ 11 ต.ค.59 ทั้ง 5 คนเดินทางมาที่ศาล โดยมีแกนนำและแนวร่วม นปช. คนอื่นๆ มาให้กำลังใจ พี่ตู่ มาพร้อมกับของใช้ส่วนตัวด้วย ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “ไม่ใช่การแก้เคล็ดหรือลางบอกเหตุ แต่ตนเคยต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำมาถึง 2 ครั้ง จึงต้องมีการเตรียมความพร้อม แม้เอารองเท้าผ้าใบมา แต่ก็ไม่เอาถุงเท้ามาเด็ดขาด”

ต่อมาศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว นายจตุพร จำเลยที่ 2 และยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนประกันในส่วนของจำเลยที่ 1, 3, 4 และ 8 ส่วนที่จำเลย 1-4 และ 8 ขอให้ยกเลิกเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวในคำร้องคัดค้านที่จำเลยยื่นมาด้วยนั้น ศาลเห็นว่าการกำหนดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวก็เพื่อป้องกันภัยอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราว ซึ่งศาลจะใช้ดุลพินิจพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขขึ้นมาเพื่อให้จำเลยที่ 1-4 และ 8 ต้องปฏิบัติเกินความจำเป็นแก่กรณี จึงยังไม่มีเหตุที่จะยกเลิกเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวดังกล่าว

ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแผ่นวีซีดีของอัยการโจทก์ ที่นำมาเป็นหลักฐานใหม่แล้วเห็นว่า บทสนทนาบางตอนของจำเลยที่ 2 กล่าวพาดพิงคนอื่นด้วยถ้อยคำค่อนข้างรุนแรง หรืออาจกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกประชาชนที่ได้รับทราบข้อความดังกล่าว เป็นสิ่งไม่สมควรกระทำ ศาลได้กำหนดเงื่อนไขไว้ก่อนแล้วเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น การที่จำเลยที่ 2 ได้กล่าวระบุชื่อและกล่าวในลักษณะดูหมิ่นกระทบต่อสิทธิชื่อเสียง เกียรติยศถือเป็นการกระทำผิดเงื่อนไข ส่วนจำเลยที่เหลือศาลเห็นว่าเป็นการติชมโดยสุจริตเป็นธรรมตามวิสัยของประชาชนทั่วไป ภายหลังศาลมีคำสั่ง นายจตุพรพยายามตีสีหน้าเรียบเฉย และราชทัณฑ์ได้เตรียมมารับตัว

หมอนิ่ม เอ็กซ์

ศาลสั่งประหาร “หมอนิ่ม” คดีจ้างวานฆ่า “เอ็กซ์ จักรกฤษณ์”

คดีฆาตกรรม นักแม่นปืนทีมชาติคนดัง นายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม ซึ่ง ศาลจังหวัดมีนบุรี เพิ่งอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.383/2557 เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.59 โดย พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย อายุ 35 ปี อาชีพรับจ้าง ถูกกล่าวหาเป็นมือปืน นางสุรางค์ ดวงจินดา อายุ 74 ปี มารดาของ พญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม ภู่เจริญยศ อายุ 40 ปี ประกอบธุรกิจส่วนตัว อดีตภรรยาของนายจักรกฤษณ์

นายสันติ หรืออี๊ด ทองเสม อายุ 30 ปี อาชีพทนายความ และนายธวัชชัย หรืออ้น เพชรโชติ อายุ 35 ปี อาชีพรับจ้าง ผู้ขี่รถจักรยานยนต์พามือปืนก่อเหตุเป็นจำเลยที่ 1 – 5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริม ให้ฆ่า, มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่ทางสาธารณะ ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 31 มี.ค.57

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต นายจิรศักดิ์ มือปืน จำเลยที่ 1 ส่วนนางสุรางค์ มารดาของหมอนิ่ม จำเลยที่ 2 ยกฟ้อง พญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม จำเลยที่ 3 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว นายธวัชชัย ผู้ขี่รถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 5 ให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนนายสันติ หรือทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว

ในเวลาต่อมา ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว พญ.นิธิวดี โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ คดีนี้ยังไม่จบ คงต้องติดตามกันต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์

แสดงความคิดเห็น