8 ความลับ… โลกตะลึง!!! เรื่องจริงดราม่า และโหดกว่าในหนัง…

โพสโดย : admin | วันที่ : 21 February 2018
หมวดหมู่ : เรื่องน่าอ่าน, แปลกแบบนี้ก็มีด้วย

8 ความลับโลกตะลึง!!! เรื่องจริงดราม่า และโหดกว่าในหนัง…

ความลับ อเมริกา

ปฏิบัติการลับมีให้เห็นในภาพยนตร์บ่อยๆ แต่เรื่องจริงก็มีอีกเยอะที่เรายังไม่รู้ มาดูกันว่าความลับระดับโลกทั้ง 8 เรื่องที่ถูกปูดออกมามีอะไรบ้าง

1. เอกสารเพนตากอน (The pentagon Papers)

เอกสารเพนตากอน มีบันทึกทางการเมืองและการทหารของสหรัฐฯ ในเวียดนามระหว่างปี ค.ศ.1945-1967 จำนวนกว่า 7,000 หน้า จัดทำโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เอกสารลับนี้ถูกพบโดยนาย แดเนียล เอลส์เบิร์ก ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ผู้ทำงานให้กับ สถาบันแลนด์ (Rand Corporation) และได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะเป็นครั้งแรกบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ส ในเดือน มิ.ย. 1971

การเปิดเผยนี้เต็มไปด้วยความลับ, การโกหก และการเสียดสี โดยเอกสารแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี ลินดอน บี.จอห์นสัน โกหกเกี่ยวกับเหตุและผลของความขัดแย้งในเวียดนาม โรเบิร์ต แมคนามารา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในยุคนั้น ระบุว่าเป้าหมายที่แท้จริงของสหรัฐฯ ไม่ใช่เพื่อช่วยเพื่อน แต่เพื่อควบคุมจีนต่างหาก

2. บันทึกสงครามอิรัก (Iraq War Logs)

ความลับ อเมริกา_NjpUs24nCQKx5e1EaK4M2FzGEMspQYi0KJMKHpcvOEA

ข้อมูลนี้มาจาก ‘รายงานภาคสนามของกองทัพ‘ ระหว่างปี 2004-2009 เปิดเผยจำนวนที่แท้จริงของพลเรือนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ซึ่งอยู่ที่ 66,081 รายจากผู้เสียชีวิตทั้งหมด 109,000 คน ยังมีรายงานว่า ทหารสหรัฐฯ บางส่วนจัดพลเรือนที่เสียชีวิตให้อยู่ในกลุ่มศัตรู รวมทั้งนักข่าว 2 คนที่เสียชีวิตในเหตุยิงพวกเดียวกันเองในเดือน ก.ค. 2007 ด้วย

3. บันทึกดาวนิง สตรีท (Downing Street Memo)

ความลับ อเมริกา_NjpUs24nCQKx5e1EaK4M2FzGEMspQYlNXk8pk7Ii7db

เป็นบันทึกการสนทนาระหว่างการประชุมลับเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2002 ระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลสหราชอาณาจักร, เจ้าหน้าที่กลาโหมและหน่วยข่าวกรอง เรื่องการก่อตัวขึ้นของสงครามอิรัก และมีการอ้างถึงนโยบายลับของสหรัฐฯ โดยตรง ถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าว ซันเดย์ ไทม์ส ในวันที่ 1 พ.ค. 2005

ว่า ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบลยู.บุช ต้องการกำจัดซัดดัม ฮุสเซน ด้วยปฏิบัติการทางทหาร สร้างความชอบธรรมโดยเชื่อมโยงเขาเข้ากับลัทธิก่อการร้ายและอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง โดยใช้ข้อมูลข่าวกรองที่น่าสงสัย และหลักฐานที่เชื่อมโยงฮุสเซนกับก่อการร้ายก็ไม่แน่นหนาเหมือนที่บอกกับสังคม

บันทึกนี้บอกว่า อิรักของฮุสเซนครอบครองอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงน้อยกว่าลิเบีย, อิหร่าน หรือ เกาหลีเหนือเสียอีก

4. ปฏิบัติการเนื้อสับ (Operation Mincemeat)

ปฏิบัติการเนื้อสับเกิดขึ้นเพื่อลวงผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันให้เชื่อว่า กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังมุ่งหน้าไปยังกรีซและแคว้นซาร์ดิเนียของอิตาลีแทน ด้วยการปล่อยข้อมูลลับปลอมให้แก่ฝ่ายเยอรมนี ด้วยการซ่อนเอกสารปลอมนี้ไว้ในศพ ซึ่งถูกคลื่นซัดไปเกยชายหาดในประเทศสเปน และเมื่อทหารเยอรมันพบศพและพบเอกสารลับ พวกเขาก็คัดลอกสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นแผนบุกจู่โจมที่แม่นยำ ก่อนส่งศพคืนอังกฤษ โดยใส่เอกสารลับ (ปลอม) นี้ไว้ในตัวศพด้วยเพื่อแสดงความจริงใจ

5. ไดอารี่สงครามอัฟกัน (Afghan War Diary)

วิกิลีกส์‘ เปิดเผยสู่สาธารณะเมื่อเดือน ก.ค. 2010 และสื่อยักษ์ใหญ่หลายสำนัก ข้อมูลนี้มากจากบันทึกของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับสงครามในอัฟกานิสถานทั้งหมดกว่า 91,000 ฉบับ แต่ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณะราว 75,000 ฉบับ เผยข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพลเรือนอัฟกันจำนวนหลายร้อยคนโดยฝีมือของกองกำลังพันธมิตรและการยิงพวกเดียวกันเอง ที่สหรัฐฯ ไม่เคยรายงาน และแผนการของฝ่ายสัมพันธมิตรดำเนินไปด้วยดี ดีมากเสียจนเยอรมนีไม่เชื่อข้อมูลของจริงเกี่ยวกับแผนยึดหมู่เกาะซิซิลี ที่รั่วไหลออกมาในภายหลัง

6. การทดลองโรคซิฟิลิสแห่งทัสคีจี (Tuskegee Syphilis Experiment)

ความลับ อเมริกา_NjpUs24nCQKx5e1EaK4M2FzGEMspQYjCwBqB4sYvCVz

(บิล คลินตัน ปรบมือในพิธีขอโทษเหยื่อเชื้อซิฟิลิส)

เป็นการทดลองหนึ่งในการศึกษาทางการแพทย์ที่อื้อฉาวที่สุด เกิดขึ้นโดยแผนกบริการสาธารณสุข (พีเอชเอส) ของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ ที่เมืองทัสคีจี รัฐแอละแบมา โดยเจ้าหน้าที่จงใจไม่รักษาชาวแอฟริกันอเมริกันผู้ติดเชื้อซิฟิลิสที่เข้าร่วมการศึกษาโดยไม่แจ้ง

พีเอชเอสร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทัสคีจี จัดหาชายชาวแอฟริกันอเมริกันจำนวน 600 คนมาเข้าร่วมการทดลองซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็นการรักษาโรคเลือด แต่ไม่ระบุว่าเป็นซิฟิลิส โดยแลกกับการรักษาพยาบาล, อาหาร และประกันชีวิตฟรี

การรักษาดำเนินไปได้สักพัก ทุนสำหรับการรักษาก็หมดลง แต่การศึกษายังดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแจ้งให้ผู้เข้าร่วมการทดลองรู้ว่าพวกเขาไม่ได้รับการรักษาแล้ว ไม่มีผู้ร่วมทดลองคนใดได้รับแจ้งว่าพวกเขาติดเชื้อซิฟิลิส และไม่มีการรักษาโรคด้วยยาปฏิชีวนะ ‘เพนิซิลิน‘ แม้ยาตัวนี้จะได้รับอนุมัติให้ใช้รักษาซิฟิลิสแล้วก็ตาม

การทดลองนี้ดำเนินไปนานถึง 40 ปี กระทั่งในปี 1972 นาย ปีเตอร์ บูกซ์ตุน นักระบาดวิทยาผู้ทำงานให้กับพีเอชเอส จะออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ สุดท้ายรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยแก่ครอบครัวของผู้เสียหายเป็นเงินรวม 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

7. คดีวอเตอร์เกต (The Watergate Scandal)

ความลับ อเมริกา_NjpUs24nCQKx5e1EaK4M2FzGEMspQYn4Bg2KnrRZtd1

คดีวอเตอร์เกต ใขยุคประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐฯ เป็นเรื่องอื้อฉาวอย่างมาก เริ่มจากชายถูกจับกุมในข้อหาบุกรุกลับลอบเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการแห่งชาติพรรคเดโมแครต ที่โรงแรมวอเตอร์เกต คอมเพล็กซ์ ในกรุงวอชิงตันดีซี และติดตั้งสายดักฟังโทรศัพท์เอาไว้ ซึ่งเอฟบีไอ สืบสวนจนพบความเชื่อมโยงระหว่างเงินสดที่พบในตัวผู้ต้องสงสัยกับ ‘คณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2’ ผู้สนับสนุนทางการเงินในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของประธานาธิบดีนิกสัน แต่การสืบสวนกลับหยุดชะงักลง โดยเชื่อกันว่าถูกขัดขวางโดยทำเนียบขาว

ต่อมาแหล่งข่าวปริศนารายหนึ่งใช้นามแฝงว่า ‘ดีป โธต’ (Deep Throat) ซึ่งเปิดเผยในภายหลังว่าคือนาย มาร์ก เฟลต์ อดีตเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ คอยส่งข้อมูลต่างๆ ของคดีนี้ให้แก่ คาร์ล เบิร์นสไตน์ และ บ็อบ วูดวาร์ด นักข่าวของสำนักข่าว วอชิงตัน โพสต์ โดยแฉว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีนิกสันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดตั้งเครื่องดักฟัง และเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ทำเนียบขาวเป็นฝ่ายสั่งให้ เอฟบีไอ และ ซีไอเอ หยุดการสืบสวนคดีนี้ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง

ประธานาธิบดีนิกสันแบบติดตั้งเครื่องดักฟังเอาไว้ในทำเนียบขาวมาโดยตลอด เพื่อบันทึกการสนทนาทั้งทางโทรศัพท์และส่วนตัว คณะกรรมการพิเศษขอให้นายนิกสันส่งมอบเทปบันทึกเสียงให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งในช่วงแรกเขาไม่ยอม แต่หลังจากเกิดการเดินขบวนประท้วงต่อต้านของประชาชนและการฟ้องร้องต่อศาล จนในที่สุดนายนิกสันก็ต้องยอมส่งมอบเทปตามคำสั่งศาลสูงสุดในเดือน ก.ค. 1974 ซึ่งเทปนี้กลายเป็นหลักฐานว่า นายนิกสันสั่งให้ผู้ช่วยแทรกแซงการทำงานของเอฟบีไอ นำไปสู่การลาออกของนายนิกสันในวันที่ 8 ส.ค. 1974 ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกและคนเดียวที่ลาออกจากตำแหน่ง

8. โครงการสอดแนมพริซึม‘ (PRISM)

ความลับ อเมริกา_4DQpjUtzLUwmJZZIQFCFJWC9DWgaXrM7xZAk81Z0fEQB-1

(เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ที่ยังคงลี้ภัยในรัสเซีย)

ในวันที่ 6 มิ.ย. 2013 สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ ออกมาแฉว่า สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสเอ) ของสหรัฐฯ ดักฟังและเก็บรวบรวมการสนทนาทางโทรศัพท์ของลูกค้าของบริษัท เวอไรซอน ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในสหรัฐฯ จำนวนหลายล้านคนเอาไว้ ตามอำนาจที่ได้จากคำสั่งลับสุดยอดของศาลสหรัฐฯ ซึ่งออกในเดือน เม.ย.

เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เจ้าหน้าที่เทคนิคสัญญาจ้างของเอ็นเอสเอ และอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการสอดแนมทางอิเล็กทรอนิกส์ลับสุดยอดของเอ็นเอสเอที่มีชื่อรหัสว่า ‘พริซึม’ ผ่านสำนักข่าววอชิงตันโพสต์ และ เดอะการ์เดียน โปรแกรมนี้ เอ็นเอสเอจะสามารถเก็บข้อมูลอีเมล, ข้อมูลเสียง และวิดีโอแชต รวมทั้งวิดีโอ, รูปภาพ และลายละเอียดบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ โดยเอ็นเอสเอร่วมมือกับเอฟบีไอ เก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้จากเซิร์ฟเวอร์กลางของบริษัทอินเทอร์เน็ต 9 แห่ง รวมถึง กูเกิล, เฟซบุ๊ก และ แอปเปิล การเปิดโปงครั้งนี้ยังทำให้รู้ว่าสหรัฐฯ แอบดักฟังโทรศัพท์ของผู้นำประเทศต่างๆ ทั้งศัตรูและมิตร เรียกเสียงประณามจากทุกสารทิศสู่คณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา โดยโจมตีว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว ซึ่งนายโอบามาได้ออกมาปกป้องโครงการนี้ อ้างว่ามันสามารถช่วยป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้ายได้

ตอนนี้ชะตากรรมของสโนเดนยังไม่เป็นที่แน่ชัด ข่าวว่าเขาลี้ภัยอยู่ในประเทศรัสเซียมานานกว่า 2 ปีแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะได้เดินทางกลับบ้านเกิด ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ หลายคนประกาศจะนำตัวชายหนุ่มผู้นี้มาพิพากษาความผิดฐานเปิดเผยความลับของประเทศ

สหรัฐอเมริกาทั้งนั้น!!!!! ผู้นำระดับโลกนี่ หมกเม็ดเยอะจริงๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์ ขอบคุณภาพจาก AFP

แสดงความคิดเห็น