5 นักโทษดำดิน – เหินฟ้า สุดยอดการ “แหกคุก” บันลือโลก

โพสโดย : admin | วันที่ : 25 July 2015
หมวดหมู่ : ย้อนรอยคดีสะเทือนขวัญ, เรื่องน่าอ่าน

5 นักโทษดำดิน – เหินฟ้า สุดยอดการ “แหกคุก” บันลือโลก

6

หลายคนอาจจะคุ้นหูกับคำว่า “แหกคุก” มาจากซีรี่ส์เรื่องดังอย่าง “Prison Break” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแหกคุกเพราะไม่ได้กระทำความผิด แต่ซีรี่ส์ส่วนใหญ่มักจะสร้างมาจากเรื่องจริง ผนวกกับจินตนาการ เช่นเดียวกับ 5 นักโทษสุดยอดนักดำดินนี้ พวกเขามีเทคนิคการแหกคุกที่แตกต่างกันออกไป และแน่นอนว่า ทุกวิธีการเหล่านี้ใช้ได้ผล และเป็นที่เลื่องลือไปแล้วทั่วโลก

เหตุการณ์แหกคุกอันโด่งดังที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุด คือการหลบหนีด้วยอุโมงค์ใต้ดินของราชายาเสพติดแห่งประเทศเม็กซิโก ซึ่งเกิดขึ้นไม่ถึง 2 เดือนหลังจากการแหกคุกด้วยเครื่องทุ่นแรงของฆาตกร 2 คนในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยทั้งคู่ใช้เครื่องมือตัดกำแพงเหล็กและหนีออกไปทางท่อระบายน้ำ

แต่ทั้ง 2 เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเพียงการแหกคุกทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในโลก แต่ยังมีอีกหลายกรณี และต่อไปนี้คือ 5 เหตุการณ์แหกคุกที่แปลกประหลาดไปจนถึงน่าเหลือเชื่อที่สุดในโลก

  1. สามีภรรยาวูฌัวร์เหินเวหา

1

มิเชล วูฌัวร์ (ภาพ: AFP)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเดือนพ.ค. ปี 1986 เมื่อนางนาดีน วูฌัวร์ หญิงชาวฝรั่งเศสตัดสินใจที่จะพา มิเชล สามีซึ่งกำลังติดคุกยาวในข้อหาพยายามฆ่าและใช้อาวุธปล้นทรัพย์ ออกจากเรือนจำในกรุงปารีส เธอจืงเข้าเรียนขับเฮลิคอปเตอร์เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

นางนาดีนลงมือในวันที่ 26 พ.ค. โดยนำเฮลิคอปเตอร์ไปจอดรอสามีอยู่บนดาดฟ้าเรือนจำ ในขณะที่มิเชลใช้ลูกท้อซึ่งทาสีให้คล้ายกับระเบิดมือ ข่มขู่เจ้าหน้าที่และสามารถฝ่าไปหาเธอได้สำเร็จ จากนั้นทั้งคู่นั่งเฮลิคอปเตอร์หนีไปยังสนามฟุตบอลแห่งหนึ่ง ก่อนจะลงจอดและเปลี่ยนไปขึ้นรถยนต์แล้วหลบหนีไป

อย่างไรก็ตาม โชคของทั้งคู่หมดลงในเวลาไม่นาน นางนาดีนถูกจับตัวที่เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ขณะที่นายมิเชลถูกยิงที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างปล้นธนาคาร จนอยู่ในอาการโคม่าไประยะหนึ่ง และเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัดเพื่อขยับแขนขาให้ได้อีกครั้ง

ในที่สุดนายมิเชลก็ได้รับการปล่อยตัวจริงๆ ในปี 2003 หลังจากติดคุกมานาน 27 ปี ต่อมาในปี 2009 เรื่องราวของเขายังถูก ฟาเบียง โกเด ผู้กำกับและนักเขียนบทภาพยนตร์หญิงชาวฝรั่งเศสนำไปสร้างเป็นสารคดี ซึ่งเข้าชิงรางวัลซีซาร์ ประจำปี 2010 ด้วย

  1. ปาสกาล ปาเย นักหลบหนีด้วยเฮลิคอปเตอร์

2

ปาสกาล ปาเย (ภาพ: AFP)

ดูเหมือนว่านักโทษชาวฝรั่งเศสจะนิยมใช้เฮลิคอปเตอร์ในการแหกคุก และผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดคงหนีไม่พ้น ปาสกาล ปาเย ผู้ใช้เฮลิคอปเตอร์หลบหนีออกจากเรือนจำถึง 3 ครั้ง

ชายชาวฝรั่งเศสผู้นี้เกิดเมื่อปี 1963 ถูกจับกุมที่กรุงปารีสเมื่อ ม.ค. ปี 1999 ในข้อหาฆาตกรรมและใช้ความรุนแรง และถูกส่งเข้าเรือนจำในหมู่บ้านลูอีน ทางใต้ของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 12 ต.ค. 2001 เขาหลบหนีออกจากเรือนจำแห่งนี้ได้สำเร็จด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่เพื่อนของเขาไฮแจ็คมา และต่อมาในวันที่ 14 เม.ย. 2003 นายปาเยก็ใช้เฮลิคอปเตอร์กลับมาช่วยเหลือเพื่อนๆ 3 คนที่ถูกจับพร้อมกับเขาเมื่อปี 1999 ออกจากเรือนจำลูอีน แต่ทั้งหมดก็ถูกจับกุมในอีก 3 สัปดาห์ต่อมา

ในเดือน ม.ค. 2005 นายปาเยถูกพิพากษาลงโทษจำคุก 30 ปีในข้อหาฆาตกรรม และอีก 13 ปีจากการแหกคุก 2 ครั้งที่ผ่านมา เมื่อถึงปี 2007 นายปาเยก็ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการให้เป็น นักโทษภายใต้การควบคุมดูแลสูงเป็นพิเศษ โดยเขาจะไม่อยู่ในเรือนจำเดิมเกิน 6 เดือน และถูกแยกขังเดี่ยว แต่ถึงกระนั้น ในวันที่ 14 ก.ค. ปีเดียวกัน ชายสวมหน้ากาก 4 คนฉวยโอกาสในงานฉลองวันบัสตีย์ หรือวันชาติฝรั่งเศส จี้เฮลิคอปเตอร์เข้าช่วยเหลือนายปาเยออกจากห้องขังเดี่ยวของเรือนจำเมืองกราส ทางใต้ของประเทศได้สำเร็จ

แต่สุดท้าย นายปาเยก็จนมุม ถูกจับกุมตัวอีกครั้งที่เมืองมาตาโร ประเทศสเปนในวันที่ 21 ก.ค. 2007 และถูกส่งตัวกลับฝรั่งเศสพร้อมกับพวกอีก 2 คน และครั้งนี้ศาลสั่งจำคุกเขาโดยไม่เปิดเผยสถานที่คุมขังด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย และพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลาหลายสิบปีโดยไม่มีการปล่อยตัวก่อนกำหนด จากข้อหาใช้ความรุนแรงกับตำรวจ, ใช้อาวุธปล้นทรัพย์ และแหกคุกหลายกระทง

  1. แหกคุกกลางทะเล อัลคาทราซ

3

ทัณฑสถาน อัลคาทราซ (ภาพ: AFP)

ทัณฑสถานแห่งชาติ อัลคาทราซ ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขังนักโทษอันตรายเอาไว้บนเกาะ ซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยคลื่นทะเลและอากาศหนาวเย็น เพื่อให้พวกเขาไม่มีโอกาสหลบหนีออกไปได้ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อนักโทษ 3 คนได้วางแผนการอันแนบเนียนจนสามารถหลบหนีออกจากทัณฑสถานแห่งนี้ได้สำเร็จ

ในช่วงปี 1960 แฟรงค์ มอร์ริส กับ 2 พี่น้อง จอห์นและคลาเรนซ์ แองกลิน และอัลเลน เวสต์ ผู้มีประวัติอาชญากรรมมาอย่างโชกโชน วางแผนหลบหนีออกจากอัลคาทราซเป็นเวลา 2 ปี หลังจากพวกเขาพบว่าผนังคอนกรีตที่อยู่ขอบๆ ช่องลม ขนาด 6×9 นิ้ว ใต้อ่างล้างหน้าในห้องขังนั้นจะเปื่อยยุ่ยกว่าผนังส่วนอื่น จึงใช้อุปกรณ์เท่าที่จะหาได้ เช่น ช้อนโลหะ เหรียญ สว่านที่ทำจากมอเตอร์เครื่องดูดฝุ่น เป็นเครื่องมือในการเจาะผนัง พวกเขายังทำฉากที่ลงสีให้คล้ายกับผนังจริงปิดบังไว้ เพื่อไม่ให้ผู้คุมเห็นร่องรอยของการเจาะ และมีแสงมืดสลัวในห้องขังยังช่วยอำพรางอีกชั้นด้วย

พวกเขายังแอบซ่อนหินเจียรจากห้องช่างในชั่วโมงฝึกงาน เพื่อไปฝนให้หมุดโลหะที่ยึดตะแกรงเหล็กนั้นหลุดออกจากช่องคอนกรีต แล้วก็ใช้สบู่อุดรูให้ดูเหมือนกับหมุดยังอยู่ตามปกติ, ขโมยเสื้อกันฝนกว่า 50 ตัวไปสร้างเป็นแพ และทำเปเปอร์มาเช่รูปคนขนาดเท่าคนจริงและติดผมของมนุษย์จริงๆ ที่เก็บมาจากร้านตัดผมในเรือนจำ เพื่อตบตาผู้คุมที่มาออกตรวจห้องขังตอนกลางคืนว่าพวกเขายังคงนอนอยู่บนเตียง แต่ที่จริงพวกเขาได้หลบหนีไปทางช่องด้านหลังห้องขังผ่านทางช่องลมที่ขุดเอาไว้แล้ว

แผนการทั้งหมดได้รับการเปิดเผยโดยอัลเลน เวสต์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้วางแผนแต่หลบหนีไม่สำเร็จในวันลงมือจริงเมื่อ 11 หรือ 12 มิ.ย. 1962 เนื่องจากถอดตะแกรงกั้นช่องลมไม่ทัน ขณะที่คนอื่นๆ หลบหนีไปจากเกาะด้วยแพที่ประดิษฐ์ขึ้น โดยแพนี้ถูกพบที่เกาะแองเจิลซึ่งอยู่ในอ่าวเดียวกันกับเกาะอัลคาทราซ โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าทั้ง 3 คนรอดชีวิตจากทะเลหรือไม่ แต่หลายสิบปีต่อมา เอฟบีไอก็เชื่อว่าทั้งนายมอริสและพี่น้องแองกลินจมน้ำเสียชีวิตในทะเลไปแล้ว เนื่องจากไม่มีรายงานพบร่องรอยของทั้ง 3 คนเลย

  1. แหกคุกพิสดารด้วยโยคะ

4

นายชอย กาบ-บก ชาวเกาหลีใต้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การฝึกโยคะเป็นมากกว่าการออกกำลังกายหรือการผ่อนคลาย เมื่อเขาใช้มันในการหลบหนีออกจากห้องขังของสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในเมืองแทกุ เมืองขนาดใหญ่ลำดับ 4 ของเกาหลีใต้

นายชอยผู้ฝึกฝนโยคะมานานกว่า 23 ปี ถูกตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ปี 2012 ฐานเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีปล้นทรัพย์ ก่อนถูกควบคุมตัวในห้องขังของสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในเมืองแทกุ และหลังจากถูกคุมขังมานาน 5 วัน นายชอยผู้มีความสูง 165 ซม.ก็ตัดสินใจหลบหนีในช่วงเช้ามืดวันที่ 17 ก.ย. โดยฉวยโอกาสที่ตำรวจหลบ ชโลมร่างกายท่อนบนด้วยน้ำมันนวดตัวแล้วมุดออกจากช่องส่งอาหารที่ประตูห้องขัง ซึ่งมีความสูงเพียง 15 ซม. และกว้างเพียง 45 ซม.ได้สำเร็จภายในเวลาแค่ 34 วินาที

ที่ร้ายกาจกว่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คุมรู้ตัวเร็วเกินไป เขายังจัดฉากเตียงของเขาให้คล้ายกับว่ายังมีคนนอนอยู่อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ตำรวจระดมกำลังตามล่าอย่างหนักและสามารถตามจับกุมนายชอยได้ในอีก 6 วันต่อมา และถูกนำไปคุมขังในห้องที่มีช่องส่งอาหารเล็กกว่าเดิม

  1. ราชายาเสพติดแหกคุกความมั่นคงสูงสุด 2 ครั้ง

5

ฮัวคิน กุซมัน เอล ชาโป (ภาพ: AP)

หากพูดถึงการแหกคุก เป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องของ ฮัวคิน กุซมัน ผู้มีฉายาว่า เอล ชาโป ซึ่งแปลว่า เจ้าเตี้ย จะไม่ถูกยกขึ้นมากล่าวถึง เพราะราชายาเสพติดแห่งแก๊งซินาโลอาอันทรงอิทธิพลในเม็กซิโกรายนี้ สามารถแหกคุกเรือนจำความมั่นคงสูงสุดของเม็กซิโกได้ ไม่ใช่แค่ 1 แต่เป็น 2 ครั้งแล้ว

เอล ชาโป ถูกจับกุมตัวครั้งแรกเมื่อปี 1993 และถูกลงโทษจำคุกเป็นเวลา 20 ปี 9 เดือน และถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำความมั่นคงสูงสุด หลายแห่งจนกระทั่งถูกส่งไปเรือนจำความมั่นคงสูงสุดในเมือง อัลโมโลยา เด ฮัวเรซ ในรัฐเม็กซิโก ในปี 1995 ซึ่งเขาดำเนินแผนการหลบหนีจากเรือนจำแห่งนี้ในวันที่ 19 ม.ค. ปี 2001 โดยติดสินบนผู้คุมหลายคนให้เปิดประตูไฟฟ้าของห้องขังให้แก่เขา ก่อนจะเข้าไปซ่อนตัวบนรถเข็นใส่ผ้าสำหรับซักรีด และถูกขนไปขึ้นรถบรรทุกออกนอกเมือง ไปยังปั๊มแก๊สแห่งหนึ่งก่อนที่นายกุซมันจะเดินเท้าหลบหนีไปในคืนนั้น

ตำรวจเม็กซิโกระบุว่า กุซมันวางแผนหลบหนีเป็นอย่างดีโดยใช้อิทธิพลครอบงำเกือบทุกคนในเรือนจำแห่งนี้ รวมทั้งผู้อำนวยการเรือนจำ ซึ่งขณะนี้ถูกขังคุกเพราะช่วยเอล ชาโปหลบหนี ผู้คุมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้แจ้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนจำถูกพบเป็นศพในปีต่อมา ขณะที่ตำรวจในรัฐฮาลิสโกซึ่งอยู่ติดกับรัฐเม็กซิโกยังได้รับเงินสินบนเพื่อรับประกันว่านายกุซมันจะมีเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพื่อหนีออกนอกรัฐ การหลบหนีครั้งนี้ กุซมันใช้เงินไปถึง 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

หลังจากการแหกคุกอันน่าตะลึงของเอล ชาโป ในปี 2001 ทางการของหลายประเทศต้องใช้เวลานานถึง 13 ปีกว่าจะจับกุมเขาได้อีกครั้งเมื่อ 22 ก.พ. 2014 ที่รีสอร์ตริมทะเลแห่งหนึ่งในเม็กซิโก และถูกส่งไปคุมขังที่เรือนจำความมั่นคงสูงสุด ลา ปัลมา (เดิมชื่อ อัลติปลาโน) ในเมืองอัลโมโลยา เด ฮัวเรซ

6

อุโมงค์ที่เอล ชาโป ใช้หลบหนี (ภาพ: AP)

แต่เพียง 16 เดือนต่อมา ในวันที่ 11 ก.ค. เอล ชาโปก็ฉีกหน้ารัฐบาลเม็กซิโกอีกครั้งด้วยการแหกคุกเรือนจำความมั่นคงสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 โดยกล้องวงจรปิดพบเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 20:52 น. บริเวณพื้นที่อาบน้ำในห้องขังของเขาซึ่งเป็นมุมอับที่กล้องมองไม่เห็น และหลังจากผู้คุมไม่เห็นเขาผ่านกล้องนาน 18 นาทีจึงกดสัญญาณเตือนภัย แต่เมื่อไปถึงห้องขังของเอล ชาโป กลับพบว่าเขาไม่อยู่แล้ว ก่อนจะพบว่า เขาหลบหนีไปด้วยอุโมงค์ซึ่งเชื่อมต่อพื้นที่อาบน้ำกับบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป 1.5 กม. ในเมืองซาตา ฮัวนิตา

อุโมงค์แห่งนี้อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 10 ม. มีการติดตั้งบันไดให้เอล ชาโปปีนลงไปยังตัวอุโมงค์ที่มีความสูง 1.7 ม. กว้าง 75 ซม. มีติดตั้งระบบไฟ ระบบระบายอากาศ ทั้งยังสร้างด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังพบรถจักรยานยนต์อยู่ในอุโมงค์ ซึ่งตำรวจเชื่อว่าใช้สำหรับขนส่งวัตถุดิบ และตัวนายกุซมันเอง

หลังจากนั้นตำรวจระดมกำลังตามล่าเอล ชาโป แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการพบตัว แม้ล่าสุดจะจับกุมผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนีครั้งนี้ได้แล้ว 7 คนก็ตาม

ขึ้นชื่อว่า “คุก” หรือการ “กักขัง” ก็คงไม่มีใครอยากถูกจำกัด “อิสรภาพ” ด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่การ “แหกคุก” เป็นหนึ่งในความคิดอันดับต้น ๆ ของนักโทษที่มีระยะเวลาของการกักขังยาวนาน หากคุณยังเป็นอีกหนึ่งคนที่โชคดีไม่ได้ถูกกักขัง และยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสรชนแล้วล่ะก็ การไม่เบียดเบียน ไม่ทำลาย ไม่ทำร้ายผู้อื่น รวมถึงไม่กระทำความผิด ก็น่าจะเป็นต้นเหตุที่ดี ที่จะไม่ก่อให้เกิดการ “กักขัง” ที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดชีวิต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์ 

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก AP และ AFP

แสดงความคิดเห็น