ตำนาน “อำแดงอยู่” ใช้ทาสบำบัดความใคร่… คดีหึงอำมหิตในตำนาน ที่ต้องลงโทษด้วยการตายตามกันไป!!!!

โพสโดย : admin | วันที่ : 20 June 2017
หมวดหมู่ : ย้อนรอยคดีสะเทือนขวัญ, เรื่องน่าอ่าน

ตำนาน “อำแดงอยู่” ใช้ทาสบำบัดความใคร่… คดีหึงอำมหิตในตำนาน ที่ต้องลงโทษด้วยการตายตามกันไป!!!!

อำแดง อยู่

เรื่องราวของ “อำแดงอยู่” นั้น เป็นเรื่องอื้อฉาวในสมัยรัชกาลที่ 5 อีอยู่ไม่ใช่ผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา แต่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงเมียคุณพระ ทั้งยังเป็นเมียพระราชทานด้วย แต่นางก็มีอารมณ์หึงหวงอย่างรุนแรง ก่อกรรมอำมหิตอย่างวิตถาร จนคดีนี้ร้ายแรงถึงพระกรรของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

เดิมทีอำแดงอยู่ เป็นบุตรของ จีนเอี่ยม กับ อำแดงพุ่ม ซึ่งทั้งแม่และยายเป็นชาวเครื่องเสวยในพระบรมมหาราชวัง อำแดงอยู่จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาทำเครื่องเสวยคาวหวานด้วย พอโตเป็นสาวได้เข้าเป็นชาวเครื่อง ในสังกัดท้าวพิพัฒโอชา

เมื่ออายุ 17 ปีเต็ม ก็พบรักกับหม่อมราชวงศ์สริ แต่ชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่น อยู่กันได้ประมาณ 2 ปีกว่า ก็ทะเลาะกันรุนแรง อำแดงอยู่เลยหนีไปอยู่กับนายเก่าในพระบรมมหาราชวัง

ต่อมาอำแดงอยู่ได้พบรักใหม่กับหลวงแผลงสท้าน ซึ่งได้ทูลขออำแดงอยู่เป็นภรรยาต่อสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดีในรัชกาลที่ 4 ซึ่งสมเด็จฯก็ทรงพระราชทานให้ตามปรารถนา หลวงแผลงสท้านจึงพาเมียไปอยู่บ้านที่ริมคลองคูเมือง ใกล้โรงไหม ย่านพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หอศิลป ในปัจจุบัน

ชีวิตคู่ของอำแดงอยู่ราบรื่น อยู่กินกันมาถึง 20 ปีกว่า จนมีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นชายสองหญิงหนึ่ง เว้นแต่ว่าทุกคนแต่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งหมด

ต่อมาหลวงแผลงสท้านได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น พระบรรฤาสิงหนาท มีตำแหน่งกำกับพนักงานห้องเครื่องเสวยวังหน้า อำแดงอยู่จึงมีฐานะเป็นคุณนาย มีข้าทาสหญิงชายหลายคน แต่ชีวิตกลับรู้สึกเหงา เพราะไม่มีลูกเหลืออีกแล้ว อีกทั้งคุณพระผู้เป็นสามีก็งานเยอะงานยุ่ง คุณนายอำแดงอยู่จึงหันมาพึ่งเหล้าดับทุก กระตุ้นให้ราคะตัณหาในวัยเพิ่งขึ้นเลข 4 ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง จู่ๆ คุณนายอยู่ก็เห็นว่า อ้ายไฮ้ ทาสในเรือนเบี้ยหน่วยก้านดี ก็เลยใช้อ้ายไฮ้ให้ช่วยบำบัดความใคร่เป็นประจำ

เป็นเวลานานกว่า 2 ปีที่คุณนายอยู่ลอบทำชู้กับอ้ายไฮ้ ทาสทุกคนรู้แต่ไม่มีใครกล้าปริปาก คุณพระซึ่งไปทำงานในวังหน้าเพียงข้ามคลองไปจากบ้าน ก็ไม่ระแคะระคายเรื่องนี้เลย

ต่อมาอ้ายไฮ้ ก็เกิดหลงรักและเป็นชู้กับ อีเกลี้ยง ทาสในเรือนเดียวกันอีก

3 เดือนต่อมาคุณพระก็เห็นความรับของเมียตัวเองเข้าอย่างจัง ในเดือน 8 ขึ้น 5 ค่ำ พ.ศ.2424 พระบรรฤาสิงหนาทผู้เป็นสามี ออกไปกำกับทำเครื่องเสวยแต่เช้าตรู่ตามปกติ และก็ตามปกติเช่นกัน เมื่อส่งสามีแล้ว คุณนายอยู่ก็เรียกอ้ายไฮ้เข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลั่นกลอน จากสำนวนไต่สวนของตระลาการกล่าวว่า

“..อ้ายไฮ้กับอำแดงอยู่นอนพูดจาหยอกล้อกันอยู่ในห้องเรือนได้ครู่หนึ่ง…ยังหาทันชำเรากันไม่…”

ทันใดคุณพระบรรฤาฯก็กลับมา เมื่อเปิดประตูห้องไม่ออกก็แหวกฝาเรือนดู เห็นเมียกับอ้ายไฮ้นอนอยู่ด้วยกัน จึงตะโกนด่าด้วยความโกรธ อำแดงอยู่จึงรีบเปิดประตูห้องออกมา

“…พระบรรฤาสิงหนาทเข้าไปในห้องได้แล้ว เอาไม้คันร่มฝรั่งตีอำแดงอยู่ทีหนึ่ง จึ่งจับตัวอ้ายไฮ้ลงไปที่พื้นดิน แล้วให้อ้ายเทืองยึดมือ อ้ายถึกยึดเท้าอ้ายไฮ้นอนคว่ำลงที่พื้นดินน่าบันไดเรือน แล้วให้อ้ายเอี่ยมเอาหวายโบยหลังอ้ายไฮ้ 50 ที ให้อ้ายถึกเอาตรวนเอาโซ่จำล่ามอ้ายไฮ้ไว้ที่ครัวไฟได้ 5 วัน…”

ในสมัยนั้นการกระทำของคุณนายอยู่กับอ้ายไฮ้เป็นเรื่องบัดสี น่าอับอาย เสื่อมเสียเกียรติยศเป็นอย่างมาก แต่คุณพระลงโทษเมียแค่ “ใช้ไม้คันร่มฝรั่งตีอำแดงอยู่ทีหนึ่ง” คงจะรักเมียมาก แต่อำแดงอยู่แทนที่จะสำนึกในความผิดอันน่าละอาย กลับแค้นว่าต้องมีคนเอาความลับไปรายงานคุณพระแน่ๆ แน่นอนว่าคนที่คุณนายสงสัยมากที่สุดก็คือ อีเกลี้ยง

อำแดง อยู่ 2

(ภาพประกอบ)

วันหนึ่งพอคุณนายกินเหล้าเมาได้ที่ ก็เรียกอีเกลี้ยงมาชี้หน้าตะคอกถาม

“มึงเอาความไปฟ้องคุณพระหรือ ว่ากูเป็นชู้กับอ้ายไฮ้…”

อีเกลี้ยงไม่ยอมรับ คุณนายอยู่คาดคั้น ไปพร้อมกับบันดาลโทสะ คว้าฟืนไม้แสม หวดตีอีเกลี้ยงกระหน่ำไป 10 กว่าครั้ง

ด้วยความแค้นที่ถูกตีจนน่วม คืนนั้นอีเกลี้ยงก็ย่องไประเบียงครัวที่อ้ายไฮ้ถูกล่ามโซ่อยู่ จับของลับอ้ายไฮ้แล้วบีบจนอ้ายไฮ้ตกใจตื่น

พอรุ่งเช้าอ้ายไฮ้ก็อ้อนคุณนายว่าอีเกลี้ยงทำร้ายของสงวน อีเกลี้ยงเลยถูกคุณนายเรียกไปสอบอีก ครั้งนี้อีเกลี้ยงเปิดเผยว่าอ้ายไฮ้ก็ทำชู้กับตัวเองด้วยเหมือนกัน

คุณนายโมโหมากด้วยราคะความหึง เรียกทาสที่ชื่อ อ้ายฮาน ให้เอาตรวนมาล่ามอีเกลี้ยงไว้ แล้วหวดด้วยดุ้นไม้ไผ่ไป 4-5 ครั้ง พอนึกขึ้นมาแล้วโมโหหึงอีกก็ตีอีเกลี้ยงซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าอยู่หลายรอบ โดยมีบันทึกไว้ว่า

“…ครั้น ณ วันเดือนเก้า ขึ้นสี่ค่ำ ปีมะเส็งตรีศก เวลาเช้าประมาณโมงเศษ พระบรรฤาสิงหนาทเข้าไปรับราชการในพระราชวังบวรฯ อำแดงอยู่ไขกุญแจที่ข้อเท้าอีเกลี้ยงเอาตัวอีเกลี้ยงมาที่ชานเรือน อำแดงอยู่เมาสุราเอาไม้แสมรอนตีอีเกลี้ยงประมาณ ๕ ที ๖ ที ในวันเดียวนั้นเวลาบ่ายโมงเศษ อำแดงอยู่ใช้อีเกลี้ยงหุงข้าวอยู่ในครัวไฟ อำแดงอยู่ตามอีเกลี้ยงเข้าไปในครัวไฟ อำแดงอยู่เห็นอีเกลี้ยงนั่งยองๆหุงข้าวอยู่ อำแดงอยู่เอาเท้าถีบอีเกลี้ยงล้มนอนตะแคงลง อำแดงอยู่กระชากผ้านุ่งอีเกลี้ยงออก แล้วอำแดงอยู่เอาไม้แสมที่เตาหุงข้าวที่ติดไฟอยู่นั้น ตำที่ทวารเบาอีเกลี้ยง ๒ ที ๓ ที…”

ยังไม่สาแก่ใจคุณนาย พอตกเย็นสี่โมงเศษ คุณนายอยู่กินเหล้ากินข้าวแล้วออกมาจากห้อง เห็นอีเกลี้ยงนั่งอยู่ที่ชานเรือนคนเดียว ก็นึกแค้นขึ้นมาอีก จึงเรียกอ้ายฮาน อ้ายสด อีเทียน ทาสชายหญิงมาช่วยกันยึดมือของอีเกลี้ยงไว้คนละข้างให้นอนหงาย อีเกลี้ยงโดนฟืนติดไฟแดงทิ่มมาแล้วก็กลัวจนตัวสั่น คุณนายอยู่ก็ให้อีเทียนนั่งทับขาไว้ แล้วจะดึงผ้านุ่งอีเกลี้ยงออก อีเกลี้ยงก็ดิ้นสุดชีวิต

จากนั้นคุณนายอยู่ก็บอกให้อ้ายฮานหยิบดุ้นฟืนแสมมาส่งให้ เงื้อขึ้นจะตี อีเกลี้ยงกลัวเลยยอมให้แก้ผ้าหมด คุณนายอยู่ดึงผ้านุ่งของอีเกลี้ยงออกส่งให้อ้ายฮาน อ้ายฮานก็โยนลงใต้ถุน มีบันทึกไว้ว่า

“…อำแดงอยู่ให้อ้ายฮานหยิบไม้ขีดไฟในครัวไฟมาส่งให้อำแดงอยู่ ๆก็ขีดไฟเผาขนที่ลับอีเกลี้ยง สิ้นไม้ขีดไฟประมาณ ๘ อัน ๙ อัน แล้วให้อ้ายฮานเอาโซ่ล่ามเท้าอีเกลี้ยงไว้ได้ ๒ วัน…”

ต่อมาอำแดงติ้น ผู้เป็นแม่เลี้ยงของอีเกลี้ยงมาเยี่ยมลูกที่บ้านพระบรรฤาฯ พบอีเกลี้ยงถูกล่ามโซ่และถูกคุณนายอยู่เอาดุ้นแสมตีหัว ตีหน้า ตีหลังจนมีแผลบวมช้ำอยู่หลายแห่ง จึงถามว่าอีเกลี้ยงทำผิดอะไร คุณนายอยู่ตอบว่าไม่ใช่เรื่องของแก อำแดงติ้นยังถามอีกว่า ต้องการเงินค่าตัวของอีเกลี้ยงหรือ จะได้หาเงินมาให้ คุณนายอยู่ก็ว่าไม่ต้องการเงิน อำแดงติ้นก็เลยเอาความไปฟ้องพระบรรฤาฯที่วังหน้า พระบรรฤาฯกำลังติดงานอยู่เลยบอกให้อำแดงติ้นไปก่อน เดี๋ยวจะตามไปชำระความให้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว มีบันทึกว่า

การฆาตกรรมอันหฤโหด  

“…ครั้น ณ วันจันทร์ เดือนเก้า ขึ้นหกค่ำ ปีมะเส็งตรีศก เวลาเช้า ๒โมงเศษ อำแดงอยู่ให้อีเกลี้ยงลงไปอาบน้ำที่หว่างพื้นดินหน้าบันใดชานเรือน อีเกลี้ยงเดินลงไปถึงบันได อำแดงอยู่เอาเท้าถีบอีเกลี้ยงพลัดตกบันไดลงไปถูกศิลาปูพื้นดินหน้าบันได หน้าคว่ำลงกับศิลา แขนซ้ายอีเกลี้ยงหัก ทันใดนั้นอำแดงอยู่ให้อ้ายฮานกับอ้ายสดอีเทียน จับข้อมือซ้ายขวาอีเกลี้ยงฉุดลากขึ้นไปบนชานเรือน พอเวลาเช้าประมาณ ๓ โมงเศษ อีเกลี้ยงทาสค่าตัวเงินสามชั่ง อายุ ๕๗ ปี ทนเจ็บบาดแผลมิได้ขาดใจตาย…..”

คุณนายอยู่กำชับทาสทุกคนให้ปิดเรื่องเป็นความลับ แล้วสั่งอ้ายอัด อ้ายถึก อีแซม ผ่าไม้ไผ่ทำเฝือกห่อศพอีเกลี้ยงใส่เรือพายไว้ใต้ถุนเรือน ให้อ้ายฮานไปบอกพระบรรฤาฯในวังหน้าว่าอีเกลี้ยงเป็นไข้ปัจจุบันตาย พระบรรฤาฯก็รีบกลับบ้าน แล้วให้อีบัวไปตามอ้ายเอี่ยม อ้ายเทือง อ้ายลา อ้ายเยื้อที่คลองสวนหมูมา ให้ทาสทั้ง ๔ นี้เอาศพอีเกลี้ยงไปจัดการฝัง สั่งความเสร็จก็กลับไปทำงานต่อโดยไม่ได้เห็นสภาพศพอีเกลี้ยงว่าตายแบบไหน

ทาสทั้ง 4 คน พายเรือเอาศพอีเกลี้ยงไปที่วัดสังเวชฯ ปากคลองบางลำพู บอกกับสัปเหร่อว่าศพเป็นโรคปัจจุบันตาย สัปเหร่อจะขอแก้ศพดูก่อนฝัง อ้ายเอี่ยมก็ไม่ยอม ให้เหตุผลว่าคนตายเป็นญวนเข้ารีต แก้เฝือกดูศพไม่ได้ สัปเหร่อก็ว่า ถ้าไม่ให้ดูศพก่อนก็ฝังให้ไม่ได้

ดังนั้นทาสทั้ง 4 คน จึงต้องหามศพอีเกลี้ยงกลับลงเรือ พายข้ามแม่น้ำไปที่วัดดุสิดาราม แต่ก็เจอปัญหาแบบเดียวกันอีก สัปเหร่อวัดนี้ก็ไม่ยอมฝังให้ ถ้าไม่ยอมแก้เฝือกให้ดูศพตามธรรมเนียม พอจนหนทาง เหล่าทาสจึงให้อ้ายเยื้อข้ามฟากมาบอกพระบรรฤาฯ ว่าสัปเหร่อจะขอแก้ดูศพก่อน คุณพระจึงส่งขุนวิเสศสังหาร ปลัดไปกับอ้ายเยื้อ จัดการแก้ผ้าผูกศพอีเกลี้ยงดู ก็พบว่ามีบาดแผลฟกช้ำหลายแห่ง บางแห่งก็เป็นแผลใหม่ยังมีเลือดไหล สัปเหร่อเห็นว่าตายผิดปกติจึงไม่ยอมฝัง ขุนวิเสศฯกับทาสทั้ง 4 คน ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องทิ้งศพไว้ที่วัด แล้วพายเรือกลับมารายงานพระบรรฤาฯ

นายหนู พลเมืองดีซึ่งนั่งอยู่ที่วัดดุสิดฯ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และรู้สึกว่ามีอะไรผิดสังเกต จึงนำความไปแจ้งกับขุนวารินสัญจร นายตำรวจท้องที่ จึงได้มีการชันสูตรพลิกศพอีเกลี้ยง และพบว่ามีร่องรอยดังนี้

-บาดแผลที่กลางกระหม่อม ๆ ยุบโต 2 นิ้ว

-หน้าบวมช้ำดำเขียวเต็มหน้า

-หูข้างซ้ายช้ำบวมโลหิตไหลออกมาจากหูคราบโลหิตติดอยู่

-ต้นแขนริมศอกขวาบวมช้ำกระดูกหัก

-ต้นแขนซ้ายบวมช้ำกระดูกหัก

-อกบวมช้ำ โตกลมนิ้วหนึ่ง

-สะโพกข้างขวาบวมช้ำดำเขียวเต็มทั้งสะโพก

-เป็นรอยตีด้วยไม้ทั้ง 7 แห่ง รวม 9 แผล

วิธีลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างสาสม!

หลังการชันสูตรในสมัยนั้นเสร็จสิ้นลง ทาสทุกคนในบ้านพระบรรฤาสิงหนาท และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการนำศพไปฝัง ถูกเรียกตัวไปให้ตระลาการไต่สวนในศาล โดยมีนายหนูพลเมืองดีเป็นโจทย์ ซึ่งทุกคนต่างก็ให้การไปตามความจริงที่รู้เห็น ตระลาการเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีเหี้ยมโหดอำมหิต ล่วงละเมิดพระราชอาญามีความผิดเป็นมหันตโทษ จึงพิพากษาตัดสินดังนี้

1 ริบทรัพย์ข้าทาสชายหญิงของอีอยู่ทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน เอาตัวไปเฆี่ยน 3 ยก 90 ทีแล้วเอาไปประหาร ให้คนอื่นไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง

2 อ้ายไฮ้ ทาสอกตัญญู ทำชู้กับเมียนายแล้วยังทำชู้กับทาสด้วยกัน จนเป็นต้นเหตุของเรื่อง ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนเสีย 30 ที แล้วส่งตัวไปให้พระบรรฤาสิงหนาทเอาไปใช้อีก

3 พระบรรฤาสิงหนาทรู้อยู่แล้วว่าอีอยู่ตีอีเกลี้ยงจนตาย แต่ก็ปิดความไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงาน ให้เอาศพอีเกลี้ยงไปฝัง จึงให้ปรับตามบรรดาศักดิ์ที่ถือศักดินา 500 ไร่ เป็นเงินสิบเอ็ดตำลึงกึ่งสลึงเฟื้องหกร้อยสามสิบห้าเบี้ย เป็นพิไนยหลวง

4 ทาสทั้งหลายรวม 12 คน ที่รู้เรื่องนี้แล้วว่าอีเกลี้ยงตายเพราะอีอยู่ตี แต่ไม่นำความแจ้งพนักงาน จึงให้เฆี่ยนคนละ 30 ที แล้วให้พระบรรฤาสิงหนาทรับตัวกลับไปใช้ตามเดิม

เมื่อนำคำตัดสินนี้ขึ้นกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระวิจารณ์ด้วยสุขุมปรีชาญาณ ทรงเห็นว่าคำลูกขุนปรึกษากันนั้นยังบกพร่องอยู่หลายข้อ ปรึกษายังไม่สิ้นกระแสความ จึงทรงพระมหากรุณาพระราชทานพระราชหัตถเลขาว่า

“ความซึ่งตระลาการคัดขึ้นให้ลูกขุนปรึกษา แลคำลูกขุนปรึกษาฉบับนี้ เห็นว่ายังบกพร่องผิดเพี้ยนอยู่หลายข้อ เหมือนหนึ่งข้อที่อีอยู่เอาไม้ติดเพลิงทิ่มทวารอีเกลี้ยง เป็นการเห็นชัดว่าจะทำตัวต่อตัวไม่ได้ ก็ไม่มีว่าผู้ใดเป็นผู้ยึดผู้ถือ มิได้วางโทษว่าหนักเบาประการใด ถ้ายังไม่พิจารณา ต้องที่ให้ตระลาการพิจารณาเอาความข้อนี้เป็นต้น แลข้ออื่นๆที่ยังมัวหมองขึ้นให้ชัดเจน อีกประการหนึ่งลูกขุนปรึกษาว่าให้ริบราชบาทว์อีอยู่เป็นหลวงให้สิ้นเชิงข้อหนึ่ง อีกข้อหนึ่งปรึกษาว่าให้เฆี่ยนอ้ายอีมีชื่อ ผู้เป็นทาสพระบรรฤาสิงหนาทแลอีอยู่ แล้วให้สังกัดมุนนายรับตัวไป คำปรึกษาสองข้อนี้ลูกขุนจะเข้าใจว่าอ้ายอีมีชื่อเหล่านั้น ทำสารกรมธรรมมีชื่ออีอยู่เป็นนายด้วยหรือไม่ ก็คเนใจลูกขุนไม่ถูก ขอให้ลูกขุนตื่นขึ้นจากหลับตรวจตราปรึกษาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ให้ลูกขุนตระลาการทำการตามคำสั่งอย่าให้เนิ่นช้าอยู่ได้เป็นอันขาด…”

ด้วยเหตุนี้ ตระลาการจึงต้องทำการสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง ระบุคนที่ร่วมมือกับอีอยู่รวมทั้งทรัพย์สินของอีอยู่ ส่งให้ลูกขุนพิจารณาโทษใหม่ ซึ่งคำตัดสินอีอยู่และพระบรรฤาสิงหนาทก็ยังคงยืนตามเดิม เพิ่มเติมคือ แยกทรัพย์สินของอีอยู่ กับพระบรรฤาฯออกจากกันเพื่อยึดเข้าหลวง และเพิ่มโทษเฆี่ยนอ้ายไฮ้เป็น 50 ที เพิ่มโทษอ้ายฮาน อ้ายสด และอีเทียนที่ชวยกันจับอีเกลี้ยงให้อีอยู่เผาขนในที่ลับ เป็นเฆี่ยน 2 ยก 60 ทีแล้วเอาตัวไปจำคุก

พร้อมกับให้เฆี่ยนอ้ายลา อ้ายเยื้อ อ้ายอัด อ้ายถึก อ้ายเอี่ยม อ้ายเทือง อีแซม อีบัว อีกวึง ผู้รู้เห็นไม่นำความมาแจ้ง คนละ 30 ทีนั้น เห็นว่าอ้ายอีเหล่านี้เป็นทาสที่ต้องฟังคำสั่งนายเงิน ทั้งยังเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ทันตั้งตัว จึงให้เฆี่ยนเฉพาะอ้ายเอี่ยม อ้ายเทือง อ้ายลา อ้ายเยื้อ ที่สมรู้เอาศพไปฝังโดยไม่ยอมให้สัปเหร่อแก้ดู ส่วนอีก 5 คนให้ภาคทัณฑ์ไว้

ส่วนอ้ายไฮ้นั้น มีความผิดฐานชู้สาว แต่นายเงินก็ลงโทษเฆี่ยนตีไปแล้ว แม้จะเป็นต้นเหตุวิวาท แต่ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการฆาตกรรมอีเกลี้ยง จึงโปรดให้ยกโทษอ้ายไฮ้เสีย

สำหรับพระบรรฤาสิงหนาท ที่ถูกลงโทษปรับเป็นเงิน 11 ตำลึงกึ่งสลึงเฟื้อง 630 เบี้ย ฐานที่รู้เรื่องอีอยู่แล้วไม่เอาความไปว่ากล่าว ไม่ไปหานายอำเภอชันสูตรศพอีเกลี้ยง ให้คนเอาศพไปฝังปิดความไว้ ไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงานตระลาการผู้ชำระความ ข้อนี้ทรงเห็นว่ายังอ่อนอยู่ เพราะการชั่วร้ายที่เกิดขึ้นเกิดบนเรือนพระบรรฤาฯ ทั้งคนร้ายและผู้ตายก็ล้วนแต่เป็นภรรยาและทาสของพระบรรฤาฯทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ของพระบรรฤาฯที่จะต้องรักษาป้องกันโดยสุดกำลังมิให้เกิดเรื่องขึ้นได้ ครั้นเกิดขึ้นแล้วควรรีบร้อนมาแจ้งต่อเจ้าพนักงานตามพระราชกำหนดกฎหมายโดยเร็ว พระบรรฤาฯกลับเฉยเสีย ปกปิดความร้ายในแผ่นดิน หากแต่นายหนูผู้มีความกตัญญูต่อแผ่นดินมาว่ากล่าวขึ้นจึงได้ปรากฏความ นับว่าพระบรรฤาฯมีความผิดถึง 2 ชั้น ฉะนั้นจึงเพิ่มโทษปรับให้พระบรรฤาฯเสียเงินเป็นรางวัลแต่นายหนูผู้เอาความมาแจ้งอีก เป็นเงิน 1 ชั่ง 10 ตำลึงด้วย

ประหาร

วันประหารอำแดงอยู่

วันเสาร์ ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2424 อีอยู่ ถูกเฆี่ยนหลัง 3 ยกรวม 90 ทีแล้ว ก็ถูกนำตัวไปประหารที่วัดโคก หรือวัดพลับพลาชัย มีคนไปดูกันแน่นขนัดจนศาลาวัดหลังหนึ่งพังลงมา

ในพิธี อีอยู่ถูกนำตัวไปมัดกับหลักด้วยอาการเซื่องซึม เพราะถูกมอมยามาก่อนการประหารเพื่อไม่ให้เกิดความกลัว แต่กระนั้นก็ยังมีสติพอที่จะสำแดงเดชเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่เพชฌฆาตกำลังทำพิธีอยู่นั้น อีอยู่ก็ตะโกนขึ้นว่า “ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ฆ่าฉันเร็วๆ …..”

พิธีนี้เพชฌฆาตที่เตรียมการประหารในครั้งนี้ถึง 6 คน แค่เพียงดาบแรกหัวของอีอยู่ก็กระเด็นกลิ้งลงกับพื้น และถูกนำไปเสียบประจานมิให้คนเอาเยี่ยงอย่าง

กล่าวกันว่า หลังจากที่หัวอีอยู่ถูกตัดกระเด็นไปแล้ว ไม่มีใครเลยแม้แต่ญาติพี่น้องที่แสดงอาการสงสารเลยสักคน

“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตอบสนอง” คำกล่าวนี้เป็นจริงเสมอ ไม่ช้า ก็เร็ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก manager

แสดงความคิดเห็น