โอ้มายก้อด!!! “มารีโอ้” เป็นคริสต์ แต่เคย “บวชเณร” เพราะอะไร มีคำตอบที่นี่

โพสโดย : admin | วันที่ : 19 July 2015
หมวดหมู่ : เรื่องน่าอ่าน

โอ้มายก้อด!!! “มารีโอ้” เป็นคริสต์ แต่เคย “บวชเณร” เพราะอะไร มีคำตอบที่นี่

2

มาริโอ้ เมาเร่อ หนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ที่ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ต่างรุมกรี๊ดในตัวเขา กว่าจะเป็นมารีโอ้ในวันนี้ เขาผ่านเรื่องราวมามากมาย แน่นอนว่ายังมีหลายเรื่องในตัวเขา ที่คุณอาจไม่เคยรู้

ติดตามได้จาก บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร Secret 

ทราบว่านับถือศาสนาคริสต์ แต่เคยบวชเณรด้วยใช่ไหมครับ

ใช่ครับ ตอน ม.1 บวชอยู่หนึ่งเดือน จริง ๆ ผมนับถือศาสนาคริสต์เหมือนพ่อ แต่แม่ซึ่งนับถือพุทธอยากให้บวช ท่านพาไปที่วัดหนองบัว จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นวัดที่ท่านนับถือก่อนหน้านั้น เวลาไปวัดผมก็แค่ทำบุญปล่อยปลา แต่การเป็นสามเณรทำให้รู้อะไรมากกว่านั้น ตั้งแต่ขั้นตอนการโกนหัวแห่นาค นุ่งห่มผ้าเหลือง และใช้ชีวิตแบบสามเณร จำได้ว่าทุกเช้าต้องตื่นตีสี่ตีห้าเพื่อออกไปบิณฑบาต ต้องฉันตามเวลาตอนเย็นฉันไม่ได้ ถือเป็นการได้เรียนรู้ชีวิตอีกแบบ

คนนับถือคริสต์ที่เคร่งหน่อยอาจจะบอกว่าไม่ควร เพราะนับถือศาสนาไหนก็ควรทำตามหลักของศาสนานั้น แต่ผมมองว่าทุกศาสนาล้วนแล้วแต่สอนให้เป็นคนดี แม่เองก็คงคิดเช่นนั้น แต่ทุกคืนผมก็ยังสวดมนต์ก่อนนอนขอบคุณพระเจ้า เวลากลัวอะไรมาก ๆ หรือเสี่ยงชีวิตเกือบตายก็จะนึกถึง และขอให้พระองค์คุ้มครองทั้งเราและคนที่เรารัก

1

ถ้าให้นึกถึงเหตุการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งต้องใช้สติและสมาธิมากๆ จะนึกถึงเหตุการณ์ไหนครับ

คงเป็นตอนที่พ่อเสียครับ ท่านป่วยเป็นเบาหวานและโรคเกี่ยวกับไต กว่าจะก้าวผ่านอารมณ์ตอนนั้นมาได้ไม่ง่ายเลย รู้สึกเหมือนเราเสียทั้งพ่อและเพื่อนสนิทไปพร้อม ๆ กัน มันเป็นอารมณ์ที่ไม่เข้าใจหลาย ๆ อย่าง เพราะเป็นการสูญเสียคนรักที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดครั้งแรก

ครอบครัวผมเป็นครอบครัวเล็ก ๆ มีแค่พ่อ แม่ พี่ชาย และผม ตอนรู้ข่าวว่าพ่อเสียชีวิตรู้สึกงง ๆ คิดว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ โทษตัวเอง โทษอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด แต่พอตั้งสติได้ ก็คิดว่าที่ผ่านมาเราได้ใช้เวลากับท่านเต็มที่แล้ว และมองว่าการตายเป็นเรื่องธรรมดา จึงสงบขึ้น คิดว่าชีวิตคนก็เป็นแบบนี้ วันหนึ่งก็ถึงตาเรา จึงต้องรีบทำสิ่งที่อยากทำ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะสายเกินไป

คนที่ผมต้องใส่ใจมาก ๆ ตอนนี้คือ แม่ แม้ไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน เพราะท่านทำธุรกิจอยู่ที่นครนายก ส่วนผมอยู่กรุงเทพฯ แต่ก็โทร.ถามสารทุกข์สุกดิบกันตลอด แม่ผมเป็นเวิร์คกิ้งวูแมน ความที่ทำงานหนัก ท่านจึงเลี้ยงลูกแบบบุฟเฟ่ต์ คือทำอาหารทิ้งไว้ให้ แล้วออกไปทำงาน ให้ลูก ๆ ตักกินเอง แม่สู้ชีวิตมากเวลานึกถึงท่าน ผมมักจะนึกถึงภาพตอนท่านทำงานตลอด จำได้ว่าตอนยังเล็กเวลาไปซื้อของมาขาย แม่จะจับผมนั่งรถไปด้วย ทุกวันนี้ท่านก็ยังค้าขาย (ทำธุรกิจเกี่ยวกับสารส้ม) สิ่งที่แม่สอนเสมอคือ คนขยันไม่อดตาย ทำตัวให้ติดดิน และอย่าคิดว่าเราสูงกว่าคนอื่น

แม้จะสนิทกันมาก แต่เวลามีปัญหาผมมักจะเลี่ยงการนำปัญหาหรือเรื่องปวดหัวไปเล่าให้ท่านฟัง เพราะไม่อยากให้ท่านเครียดหรือคิดมาก อะไรที่จัดการเองได้ ผมจะจัดการเอง หรือไม่ก็ปรึกษาเพื่อนและผู้จัดการ ยกเว้นเป็นเรื่องที่หนักจริง ๆ ถึงจะคุยกับท่าน อีกคนที่ผมมักจะไปปรึกษาและขอคำแนะนำบ่อย ๆ คือหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ผมนับถือเหมือนพ่อ หม่อมเป็นคนที่สอนสมาธิให้ ก่อนเรียนการแสดงทุกครั้ง ท่านจะให้นักเรียนทำสมาธิ ทำให้ไม่วอกแวกซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักแสดง

3

วัยรุ่นเป็นวัยแห่งการกิน เที่ยว และสังสรรค์ แต่เราต้องทำงานบอกตัวเองอย่างไรให้มีแรงลุกขึ้นมาในทุกๆ เช้า

อย่างเดียวเลยคือ “ต้องทำให้แม่สบายให้ได้” เมื่อโอกาสมาแล้วต้องคว้าไว้ แม่สอนเสมอว่า น้ำขึ้นต้องรีบตัก “ถ้าไม่รีบตัก เดี๋ยวตักไม่ทันนะ” ผมจึงพยายามกระตุ้นตัวเอง มันก็มีบางวันที่ไม่อยากลุกจากเตียง เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าวันไหนเราตื่นมาแล้วไม่อยากไปถ่ายละคร แสดงว่าละครเรื่องนั้นจบแล้วสำหรับเรา แต่เมื่อไรที่เราตื่นมาแล้วรู้สึกว่าอยากรีบไปกองถ่ายจัง แม้ไปแล้วจะรู้ว่าเทคยับ แต่ก็ยังอยากไป แสดงว่านั่นคือละครที่ใช่ ซึ่งเรื่องนี้มันเกี่ยวกับการเลือกรับงานตั้งแต่แรก เราต้องเลือกงานที่คิดว่าดีและชอบ พอถึงเวลาทำ เราจะอยากลุกไปทำ

ละครหรือหนังเรื่องหนึ่งกว่าจะถ่ายเสร็จไม่ใช่แป๊บ ๆ บางทีถ่ายเช้าถึงดึก ถ่ายมุมแคบแล้วต้องถ่ายมุมกว้าง ต้องแสดงซ้ำไปซ้ำมา บางทีถ่ายติดต่อกันหลายวันไม่ได้นอน ก็ต้องบิลด์ตัวเองว่า “สนุกโว้ย สนุก” (หัวเราะ) แม้จะง่วงมากก็ต้องหาวิธีทำให้ตื่น บางครั้งก็ต้องใช้เครื่องดื่มชูกำลังช่วยบ้าง

ทั้งหล่อ และเป็นคนดีแบบนี้ ไม่กรี๊ด ได้ยังไงไหวล่ะใช่ไหมคะ หวังว่าเหล่าแฟนคลับ และผู้ที่คอยติดตามชมผลงานของมารีโอ้ เมาเร่อมาตลอด คงได้ฟิน!! กับบทสัมภาษณ์ที่ตอบจริง ตอบตรงแบบนี้… 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Secret

แสดงความคิดเห็น