พ่อนอนหลับสนิท แขนก่ายทับ “ลูกน้อย” ตายอนาถ!!!
เกิดอุทาหรณ์สอนใจพ่อ-แม่ อีกแล้ว เมื่อพ่อแม่มือใหม่ ได้นอนใกล้ลูก นอนไปนอนมาพ่อหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้า แล้วแขนของพ่อก็พลันไปปิดจมูกลูกจนขาดอากาศหายใจไปดื้อ ๆ โดยไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด ท่ามกลางความเศร้าสลดเสียใจของคนในครอบครัว และผู้ที่พบเห็น
อุ้มลูกสาวมานอนใกล้ ๆ ไม่ทันระวัง พ่อหลับสนิทเผลอเอาแขนทับหน้าลูกขาดอากาศหายใจ ตื่นเช้ามาแม่เห็นถึงกับช็อก รีบพาส่งแพทย์ยื้อชีวิต แต่ไม่ทัน
เมื่อวานนี้ พ.ต.ต.โสภณ คงทอง สารวัตรเวร สภ.เมือง จ.กระบี่ รับแจ้งมีเด็กทารกมารักษาตัวที่ รพ.กระบี่ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา รีบเดินทางไปตรวจสอบยัง รพ.กระบี่ ภายหลังพบผู้เสียชีวิตทราบชื่อว่า ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) อายุ 1 เดือน 7 วันพักอาศัยอยู่กับบิดา และมารดา ทั้งคู่อายุ 23 ปี ชาว ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่
จากการสอบถาม น.ส.สวย (นามสมมุติ) มารดาของ ด.ญ.เอ ให้การทั้งน้ำตาว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนพร้อมลูกสาว และสามี นอนพักอยู่ในบ้านตามปกติ จู่ ๆ ลูกสาวก็ร้องไห้ จึงอุ้มออกมาจากเปลนอนกับพื้นห้องใกล้ ๆ สามี กระทั่งตื่นเช้าลุกขึ้นเตรียมจะไปทำงานเห็นลูกนอนนิ่ง สังเกตเห็นเลือดไหลทางจมูก โดยมีมือของสามีทับอยู่บนใบหน้าของลูกสาวจึงรีบเอามือออก ตนตกใจมากรีบปลุกสามีให้ตื่น นำตัวส่งรพ.ตลาดเก่า พบว่าไม่มีอาการตอบสนอง จึงพามายัง รพ.กระบี่ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ขณะที่นาย แดง (นามสมมุติ) ให้การด้วยอาการฟูมฟายทั้งน้ำตาว่า ปกติทำงานรับจ้างทั่วไป นอนหลับไปไม่รู้สึกตัว พอตื่นขึ้นมาเพราะภรรยาปลุกทำให้รู้ว่าแขนทับหน้าลูก จึงรีบนำลูกสาวส่ง รพ.แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เบื้องต้นแพทย์ลงความเห็นว่า เด็กเสียชีวิตจากสมองขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง ทำให้ระบบการหายใจล้มเหลว ส่วนตามร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผลใด ๆ
พ.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า สาเหตุทีเด็กขาดอากาศหายใจคาดน่าจะเกิดจากการที่พ่อของเด็กเผลอนอนเอามือไปทับจมูก และปากของเด็กเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะได้ชันสูตรศพ และสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ถ้าการชันสูตรปรากฏผลออกมาว่า ลูกเสียชีวิตด้วยการถูกแขนของพ่อทับจริง ๆ คงเป็นเรื่องที่พ่อจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงานนั้นเอง ที่ทำให้เขาเผลอนำชีวิตลูกไป อย่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พ่อคนนี้ คงนอนไม่หลับไปตลอดชีวิตด้วยความรู้สึกผิดอย่างแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูล และเครดิตภาพจาก เดลินิวส์ออนไลน์
แสดงความคิดเห็น