เผยหมดเปลือก เรื่อง “ไสยศาสตร์” “คุณไสย” วิชาคงกระพันมีจริงมั้ย? ทำเสน่ห์ใช้ได้จริงเหรอ? เรื่องเมื่อพันปี แต่ทำไมยังอินเทรนด์!!!

โพสโดย : admin | วันที่ : 3 August 2015
หมวดหมู่ : เรื่องน่าอ่าน, แปลกแบบนี้ก็มีด้วย

เผยหมดเปลือก เรื่อง “ไสยศาสตร์” “คุณไสย” วิชาคงกระพันมีจริงมั้ยห? ทำเสน่ห์ใช้ได้จริงเหรอ? เรื่องเมื่อพันปี แต่ยังอินเทรนด์!!!

0

เรื่องของศาสตร์ลี้ลับ อย่าง “คุณไสย” คนส่วนใหญ่คงเคยได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่เคยเจอเข้ากับตัว หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมโลกของศาสตร์ลี้ลับ ศาสตร์ที่ถือกำเนิดมานับพันปีแต่ยังคงอยู่มาจนถึงยุคสมาร์ตโฟน และเป็นศาสตร์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของโลกีย์…

ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งคุณไสย โลกที่สร้างเรื่องราวเร้าใจของเรื่องใคร่ๆ ในแบบที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน !!!

โลกแห่งไสยคุณ

ไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์คาถา เลขยันต์ และปรากฏการณ์ทางจิต มีอายุย้อนไปตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล และดำรงอยู่คู่โลกมาช้านาน แม้โลกมนุษย์จะก้าวเข้าสู่ยุค Social Network มีความเจริญทางเทคโนโลยีก้าวล้ำไปแค่ไหน แต่ในอีกด้าน ไสยศาสตร์ก็ยังคงดำรงอยู่คู่มนุษย์ผู้ต้องการหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจควบคู่ไปเช่นกัน

โดยทั่วไป ไสยศาสตร์แยกออกเป็น 2 นิกาย คือสายขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี ช่วยเหลือมนุษย์ให้มีความสุขและปลอดภัย กับสายดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว ทำอันตรายแก่ผู้อื่น

อาถรรพเวทย์

ที่มาของไสยศาสตร์ก็คืออาถรรพเวทย์ ซึ่งเป็นเวทย์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู วิชาของอาถรรพเวทย์มี 8 ประเภท

  1. วิชาคงกระพัน

ไสยศาสตร์นั้น แต่เดิมใช้เพื่อการสู้รบล้วนๆ นักรบโบราณเวลาออกศึกจะใส่เกราะหนัง เกราะเหล็ก แต่ก็ไม่ได้มีใส่ครบทุกคน คนที่ไม่มีเกราะก็มักใช้ตัวช่วยเป็นของขลัง ส่วนมากจะลงยันต์ไปบนผิวหนัง วิชาคงกระพันมี 3 ระดับ คือฟันไม่เข้า, หักเห (ปืนยิงไม่โดน และแคล้วคลาด (มีคนมาดักรอทำร้าย แต่มีสิ่งดลใจให้ไม่อยากไปตรงนั้น)

  1. วิชาแสดงปาฎิหาริย์

เช่น กำบังตนด้วยการเสกใบไม้ทัดหูข้าศึกมองไม่เห็นในชั่วพริบตา ไสยศาสตร์เป็นวิชากำมะลอ (ชั่วครั้งชั่วคราว) ทำให้รอดพ้นเฉพาะเหตุการณ์เฉพาะหน้าเพื่อให้รอดพ้นในยามศึกสงคราม

  1. วิชาประสาน

ใช้เมื่อยามพลั้งพลาด สมัยโบราณเวลาคนกระดูกหัก วิธีรักษามีอย่างเดียวคือใช้น้ำมนต์พ่นให้กระดูกประสานกัน

  1. วิชาสะเดาะ

ทั้งสะเดาะกลอน กุญแจ โซ่ตรวน ฯลฯ

  1. วิชารักษาโรค

คนโบราณเวลาป่วย เช่น งูสวัด จะหมอจะพ่นเหล้าขาวให้หาย เวลาป่วยก็เอาพระเครื่องเนื้อผงมาฝนแล้วผสมน้ำดื่ม ช่วยให้ทุเลา ซึ่งถ้ามองในส่วนวิทยาศาสตร์ ในองค์พระมีสมุนไพรหลายตัวที่ช่วยลดไข้บรรเทาปวด อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะการลงคำสั่งคาถาลงไปให้มันเกิดผลแบบนี้ คาถาเป็นเหมือนคำสั่ง ส่วนสิ่งที่อัดลงไปคือพลังจิต

  1. วิชากระทำย่ำยี

เป็นวิชาที่น่ากลัวมาก เป็นบทคาถาที่หวงแหนกันนักหนา เป็นวิชาที่ทำให้คนตาย บ้า ใบ้ พิการ ได้แก่วิชาบิดไส้ หรือเสกของแข็ง (เช่นตะปู) เข้าท้อง บางรายโดนหนักถึงขนาดตะปูเข้าไปแทรกอยู่ในกระดูกเลยก็ยังมี

  1. วิชาใช้ผีใช้พราย

เป็นวิชาที่มีทั้งบวกและลบ เช่น เลี้ยงกุมารทอง ตามห้างร้านเลี้ยงเพื่อช่วยให้ค้าขายรุ่งเรือง หรือบางคนใช้ให้ตามคุ้มครองคนที่รัก รวมถึงใช้เรียกจิตใจในการทำเสน่ห์ (การทำเสน่ห์สำหรับสายขาวคือ ใช้จิตสื่อถึงจิตให้คิดถึงกัน หรือทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศต่อกัน โดยให้เป็นไปแบบธรรมชาติ ไม่ใช่ครอบงำจิต เพราะนั่นเป็นวิธีของสายดำ)… นี่คือทางบวก แต่ถ้าใช้ทางลบ อาจใช้กุมารทองไปหลอกหลอน หรือทำให้เดินพลั้งพลาดจนตกตึกตาย!

  1. วิชาทำเสน่ห์

ถือเป็นวิชาที่ฮิตที่สุด และได้รับความสนใจค่อนข้างจะสูงสุดมาแต่โบราณ เป็นการทำให้คนมีเสน่ห์ บารมี โภคทรัพย์ โดยใช้พลังในเรื่องเมตตา เงินทอง และโชคลาภ… วิชานี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้ชายอย่างเราน่าจะมีความรู้ประดับตัวไว้บ้าง และเป็นสิ่งที่เราจะขยายความกันมากเป็นพิเศษ!

1

พระงั่ง : ไสยคุณมหาเสน่ห์

งั่งมีฤทธิ์ในทางมหาเสน่ห์ ครอบงำให้คนมารักมาหลง ถือเป็นมนต์ดำ มีต้นกำเนิดจากชนเผ่าขอม คือคนอินเดียที่อพยพเข้ามาและมีอำนาจสมัยนครวัด งั่งเป็นวัตถุมงคลลึกลับและหายาก มีฤทธิ์มาก แต่ก็น่ากลัวมาก เพราะวิญญาณในงั่งไม่ใช่วิญญาณธรรมดา แต่บางครั้งเป็นวิญญาณร้าย งั่งมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่งั่งตัวลูก จนถึงงั่งทรงเครื่อง (ตัวแม่) ซึ่งเป็นองค์ครู

ตำนานพระงั่ง

ในสมัยโบราณ พระงั่งเป็นสิ่งที่นักรบระดับนายกองและคนคุมทัพพกติดตัว ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะหามาพกได้ ภายหลังพบว่าให้คุณทางมหาเสน่ห์ในระดับรุนแรง

ความอัศจรรย์

ที่คนพยายามหางั่งกันเยอะ เพราะงั่งเป็นวัตถุที่ไม่ค่อยหลบซ่อนเรื่องความอัศจรรย์ แต่เผยให้เห็นกันจะจะ ขยับได้ สั่นได้ พลิกตัวได้ บางครั้งถ้าผู้หญิงมีประจำเดือนมาคร่อมก็จะพลิกตัวให้เห็น และนั่นแสดงว่างั่งชอบผู้หญิงคนนั้น จะทำให้เธออยู่กับเราไปตลอด ไม่ทิ้งเราไปไหน บางคนศรัทธามากถึงกับยกเมียให้พระงั่ง กรณีนี้ภรรยาจะฝันว่างั่งมานอนด้วยทุกคืน

ว่ากันว่า งั่งจะมาหาเจ้าของเอง แต่ถ้าผู้ครอบครองเกิดไปทำผิดศีลธรรม เขาก็จะเปลี่ยนเจ้าของเอง เช่น หายไปเองจากกรอบ ทำให้เจ้าของหาไม่เจอก็มี หรือบังตาให้คนเจ้าของมองเห็นเป็นอย่างอื่นไปก็มี

การบูชา

ในลาวและเขมรจะมีวันเลี้ยงงั่ง อาจเลี้ยงด้วยไก่ดิบ ตั้งบายศรีปากชาม และลาบเลือด บางคนเชื่อว่าต้องบูชาพระงั่งต้องเอาประจำเดือนทาที่ปาก ซึ่งทำได้เฉพาะงั่งตัวลูกเท่านั้น งั่งตัวแม่จะทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะมีญาณสูง สร้างบารมีมานาน จะทำให้ผู้ทำมีอันเป็นไป

2

เสด็จแม่ยั่วเมือง

องค์พระทำจากมวลสารเนื้อว่านหลายชนิด แช่อยู่ในว่านมหารัญจวน (ว่ากันว่า ในวันที่ปลุกเสก ไก่ทั้งฝูงเข้าไปในปรัมพิธีแล้วออกไม่ได้ แล้วไปผสมพันธุ์กันนั้นทั้งฝูง) เป็นของมีญาณ ช่วยในเรื่องของมหาเสน่ห์โดยเฉพาะ โดยมีโบนัสเป็นการเกิดอารมณ์ทางเพศสูง ผู้ครอบครองบางคนฝันเห็นผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวมาขออยู่ด้วย เป็นของที่เหมาะสำหรับคนมีครอบครัว เพราะช่วยให้อยู่เย็นเป็นสุข มีอารมณ์ทางเพศทั้งวัน

3

น้ำมันพราย

หลายคนอาจเคยได้ยินว่า การใช้น้ำมันพรายต้องดีดใส่สาวที่หมายปอง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะในน้ำมันพรายมีญาณของผู้หญิงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องดีดหรือป้าย แค่พกเอาไว้เฉยๆ แล้วอยากได้อะไรก็ขอเขา โบราณบอกไว้ว่า คนที่ถูกน้ำมันพรายดีดใส่ ไม่เกิน 7 วันจะต้องเป็นบ้า… ข้อควรจำไว้อย่างก็คือ ถ้าดีดใส่ผู้หญิงคนไหนแล้วเขามานอนด้วย สิ่งที่มานอนด้วยไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น แต่คุณกำลังนอนกับผี ต่อให้คุณแต่งงานกับเธอ ก็เท่ากับแต่งงานกับผีไปตลอดชีวิต

ไสยศาสตร์สายขาว และการถอนคุณไสย

จากเครื่องลางวัตถุอาถรรพณ์และมนต์ดำ คราวนี้เราจะพาคุณท่องไปในอีกด้านของไสยศาสตร์ นั่นคือนิกายฝ่ายขาวซึ่งแม้จะเน้นเรื่องของมหาเสน่ห์ และเมตตามหานิยมเหมือนกัน แต่ใช้วิธีการที่แตกต่างกัน

อ.โอม มหามนตรา กูรูท่านนี้เป็นเจ้าสำนัก “บ้านมหามนตรา” ย่านแจ้งวัฒนะ ซึมซาบทั้งพุทธศาสตร์และโหราศาสตร์มาแต่เด็ก มีเหตุบังเอิญให้ได้เลี้ยงกุมารทองมาแต่เล็ก ผันชีวิตจากการเป็นนิติกรของบริษัทเอกชน ตัดสินใจสละทุนเรียนปริญญาเอกที่ต่างประเทศ และเลือกที่จะมาเปิดสำนักของตัวเอง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนและต้องการที่พึ่ง… โดยเฉพาะการเสริมเสน่ห์ และการแก้คุณไสย!

วัตถุมงคลเสริมเสน่ห์

การเสริมเสน่ห์โดยใช้วัตถุมงคลในไสยศาสตร์สายขาวนั้น ใช้หลักการของการเชื่อมโยงจิต คือถ้าเราชอบใครก็นึกถึงเขาตลอดเวลา และถ้ามีวัตถุมงคลอยู่ใกล้ตัว พลังจะส่งถึงกันเป็นทอดๆ (ลูกศิษย์รับของมงคลจากอาจารย์ ก็จะเกิดการเชื่อมโยงแรก และรับพลังจากอาจารย์ของอาจารย์ขึ้นไปอีก) พลังทุกอย่างจะถูกถ่ายทอดมาถึงเราโดยตรง กลายเป็นมีแหล่งกำเนิดพลังงาน เหมือนมีปืนที่มีพลังแรง เมื่อนึกถึงใครก็จะยิงพลังไปที่คนคนนั้นอย่างทรงพลัง เขาก็จะรู้สึกคิดถึงตอบกลับมาที่เราอย่างรุนแรงเช่นกัน นี่เป็นหลักการส่งพลังจากตัวเรา เพื่อให้เขารู้สึกว่าคิดถึงเรา แต่ไม่ใช่การครอบงำ

ลงนะหน้าทอง (ชื่อเต็ม – นะพระลักษมณ์หน้าทอง)

เหมือนการเล่นแร่แปรธาตุ เหมือนการเอาเหล็กไปชุบเป็นทองหรือเงิน แต่นี่คือการเอาพลังจากตัวครูบาอาจารย์ประจุเข้าไปในตัวลูกศิษย์ ซึ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นจุดที่มีพลังมากที่สุดในร่างกาย คือกลางหน้าผาก ซึ่งเหมือนช่องเสียบแบตที่ใส่พลังได้โดยตรง ใช้คาถาคำสั่งกับอำนาจจิตประกอบกัน ผลคือมีพลังเข้าไปหล่อหลอม ปลุกให้พลังงานของศิษย์เป็นไปในแบบที่ต้องการ เช่น การลงนะปัถมังหน้าทอง (ปัถมัง คือบทแรกของวิชาไสยศาสตร์ที่ใช้ปลุกเสกผง + หน้าทอง มาจาก พระลักษมณ์หน้าทอง) ด้วยการใช้น้ำมันทา เอาทองคำเปลวแปะ จากนั้นก็ท่องคาถาเฉพาะ ไม่ว่าจะด้านเสน่ห์ หรือเมตตามหานิยม

ผ้ายันต์ม้าเสพกาม

มีลักษณะเป็นผ้ายันต์ที่มีรูปม้าอยู่ตรงกลาง แต่ตัวม้ากำลังมีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาว ตามประวัตินั้นเป็นความเชื่อของทางล้านนา (อาจเป็นพวกเงี้ยว ทางภาคเหนือ) โดยมีเรื่องเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งเลี้ยงม้าไว้ที่บ้าน แล้วเผอิญลูกสาวบ้านนี้ดันไปมีอะไรกับกับม้าตัวนี้เข้า เมื่อผู้เป็นพ่อรู้ก็เลยสั่งฆ่าม้าตาย ลูกสาวรู้สึกเสียใจมากก็เลยกลั้นใจตายตาม กลายเป็นที่มาของผ้ายันต์ “ม้าเสพกาม” ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องรางที่สร้างดึงดูดทางเพศให้แก่ผู้ใช้

อิ้น-ปลัดขิก-เป๋อ

อิ้นเป็นเครื่องลางจากทางล้านา มีลักษณะเป็นรูปหญิงชายกอดกัน แทนสัญลักษณ์ของหญิงชายคู่แรก เทียบได้กับอดัมกะอีฟ ส่วนปลัดขิกน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิไศวะนิกายของฮินดูที่บูชาพระศิวะ น่าจะมีอิทธิพลมาจากรูปเคารพศิวลึงก์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ส่วนเป๋อเป็นรูปของผู้หญิงกับอวัยวะเพศชาย เครื่องลางเหล่านี้นอกจากจะให้คุณในเรื่องของเสน่ห์แล้ว ยังดีในเรื่องโชคลาภ และเสริมเรื่องการค้าขายดีด้วย วิธีบูชาก็ไม่มีอะไรมาก แค่พกติดตัวไว้ก็พอ แทบไม่ต้องมีคาถาบูชาอะไรเป็นพิเศษด้วยซ้ำ

5

เบี้ยแก้

เบี้ยแก้ถือเป็นของวิเศษอีกอย่างที่คนโบราณมักมีไว้ในครอบครอง เพราะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจ เสนียดจัญไร ป้องกันยาพิษป้องกันคุณไสย แถมยังช่วยแก้คุณไสยได้ชะงัดนัก วิธีใช้ก็เพียงแค่พกติดตัวเท่านั้น ไม่ว่าจะใส่กระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง ถือว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองในการพอติดตัวมากนัก

เสน่ห์ยาแฝด

โดยทั่วไปแล้ว เป็นการใช้ดินสอพองเขียนยันต์ที่มีเสน่ห์ หรือใช้สิ่งที่เป็นมวลสารพืชและสัตว์ เช่น ว่านเสน่ห์ ชะมดเช็ด เขากวาง ฯลฯ แล้วว่าคาถาสั่งลงไปว่าใครได้กินก็ให้รักให้หลง แต่หลักการนี้เป็นวิธีของมนต์สายดำ ซึ่งถือเป็นบาป ในสายขอฃาวจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีเอาลงที่ตัวเราเองเพื่อประจุพลัง ซึ่งถือว่ามีวัตถุประสงค์การใช้คนละอย่าง

การแก้คุณไสย

จะรู้วิธีแก้ก็ต้องรู้วิธีผูกเสียก่อน… อ.โอมอธิบายถึงวิธีกระทำคุณไสยทั้ง 2 แบบ ซึ่งผู้คนมักโดนกระทำแล้วต้องมาให้อาจารย์ช่วยถอดถอนให้

  1. ทำโดยมโนคติ

ถ้าอยากให้คน 2 คนอยู่ด้วยกัน ก็เอาหุ่นฟางขึ้นมานึกถึงหน้าคน 2 คน ผูกหุ่นไว้ด้วยกันด้วยวายสิญจน์จูงศพผีตายโหง ใช้คาถาและจิตสั่งเข้าไป นำไปฝังไว้ใต้ดินสุสานโบราณไว้ลึก 1 ศอก ก่อนจะสั่งให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันไปจนวันตาย ว่ากันว่า ถ้าใครไม่มาเจอหุ่นนี้แล้วจับแยกออกจากกัน สองคนี้ก็จะต้องอยู่กันไปอย่างนั้น แต่ส่วนมากจะตายก่อน เพราะผีมันจะกินปราณ คือสูบเอาพลังของเราไป ไม่ให้เรากินข้าว ไม่ให้เราพักผ่อน จนร่างกายผ่ายผอม ผิวจะคล้ำ กินแต่เหล้าเพราะผีอยากกินเหล้า สุดท้ายก็จะค่อยๆ ตายไปเอง

วิธีแก้

Level ต่ำ : แก้ได้โดยใช้น้ำมนต์และใช้เทียนขี้ผึ้งบริสุทธิ์เสกในฤกษ์งามยามดี ว่าด้วยคาถาธรณีสาร (ลบล้างสิ่งไม่ดี) คาถาเมตตาหลวง (เพิ่มคุณสิ่งที่ดี) คาถาพระสีวลี (โชคลาภเงินทอง) น้ำมนต์นี้จึงมีฤทธิ์ 3 in 1 รดลงไปครั้งแรกก็จะช่วยให้ทุเลาได้

Level สูง : แต่ถ้าเป็น level ที่สูงขึ้นมา เช่นถูกมัดด้วยวิญญาณของผีตายโหง ก็จะมีอาการเพ้อๆ ไม่มีสติอยู่กับตัว… เนื่องจากคนเรามีเจตภูตทั้ง 4 คอยควบคุมอยู่ คุฯไสยบางอย่างจะให้ผีให้พรายไปอยู่กับเจตภูตของเรา คนๆ นั้นก็จะไม่มีเจตภูตประจำตัวอยู่ จะเบลอๆ ตาขวางๆ วิธีแก้คือปลดปล่อยเขาออกมา… อันดับแรกจะทดสอบว่าอาการหนักขนาดไหน เริ่มจากเอาน้ำมนต์รด ถ้าเป็นวิชาอนุบาลก็จะหายไป แต่ถ้ายังดื้อก็เอาสายสิญจน์พัน 3 รอบให้ดิ้นไม่หลุด จากนั้นใช้หุ่นที่เตรียมไว้ ใช้คาถาและอำนาจแห่งจิตเรียกเข้ามา พันสายสิญจน์แล้วดึงวิญญาณนั้นออกจากตัวแล้วเข้ามาอยู่ในหุ่น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าเราจะเอาเขามาใช้ยังไง (ขึ้นอยู่กับคนใช้ ถ้าใช้ผิดวิธีก็บาปด้วยกันทั้งคู่) แล้วเวลาทำบุญก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา เพื่อให้ได้ไปผุดไปเกิดได้เร็วขึ้น และในภพที่ดีขึ้น

  1. ทำโดยใช้สิ่งของ

เช่น การเสกตะปูเข้าท้อง วิธีแก้คือต้องเอาสิ่งของนั้นๆ ออกจากตัว ด้วยวัตถุที่มีความสามารถในการดูดซับ เช่น ใช้ไข่ โดยนั่งยืดปลายเท้าไปในทิศที่ไม่มีคนนั่ง (เพราะอาจเข้าตัวคนอื่น) ใช้ไข่รูดจากหัวจรดเท้าแล้วสิ่งที่อยู่ในตัวก็จะถูกดูดไปอยู่ในไข่ เสร็จแล้วก็ต้องตอกไข่ออกมา

แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการโดนจากของกิน เพราะมันเข้าไปแล้วจะมีผลโดยกับตัวเรา เช่น “ยาสั่งตาย” หลักการคือเอาสารพิษและคาถาใส่ลงไป อาจใส่เนื้อไก่ลงไปด้วยแล้วเสกคาถาสั่งว่า หลังจากที่กินยานี้ไปแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่กินไก่เจ้าต้องตายทันที อธิบายจากหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ ผู้ปรุงยาฝังไก่ลงไปเหมือนฝังเซรุ่ม เมื่อไหร่ที่มีสารใกล้เคียงกันเข้ามาในร่างกาย สารชนิดนี้ก็จะถูกกระตุ้นให้ออกฤทธิ์จนเส้นเลือดแตกตายทันที!

อีกตัวคือ “ยาสั่งรัก” ที่น่ากลัวคือยาที่มีพลังฝ่ายต่ำ จากการนำขี้ไคล 5 จุดในร่างกายมาปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ผสมเลือดในตัวและน้ำเมือกหรือน้ำกาม ผ่านกรรมวิธีสกปรกอีกหลายอย่างก่อนจะบดเป็นผง ถ้าเอาผงนี้ไปใส่ให้ใครกินก็จะรักจะหลง

4

วิธีแก้

ถ้าโดนของจากการกิน ก็ต้องถอนด้วยการกิน คือดื่มน้ำมนต์แก้

เรื่องเหล่านี้ ขึ้นอยู่ที่วิจารญาณของแต่ละบุคคล ไม่ว่าใครจะเชื่อสิ่งใด แต่สิ่งที่เป็นความจริงอันประเสริฐและบริสุทธิ์คือ การเชื่อในการทำความดี เป็นคนดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และทำให้จิตให้ผ่องใส นั่นแหละคือการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง และบริบูรณ์ที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูล และเครดิตภาพจาก FHM

แสดงความคิดเห็น