เรื่องเล่าเสาหลักเมือง… ประเพณีการ “ฝังคนทั้งเป็น”

โพสโดย : admin | วันที่ : 11 September 2015
หมวดหมู่ : เรื่องน่าอ่าน

เรื่องเล่าเสาหลักเมือง… ประเพณีการ “ฝังคนทั้งเป็น”

0

การจะสร้างเมืองใหม่ขึ้น ณ ที่ใดนั้น ตามความเชื่อของประเพณีไทยมาแต่โบราณ จะต้องมีการหาฤกษ์งามยามดี สำหรับการฝังเสาหลักเมือง เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของชาวเมือง

เสาหลักเมือง กรุงเทพฯ

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย  ทรงอธิบายเรื่องเสาหลักเมืองไว้ในหนังสือวงวรรณคดี ฉบับเดือนเมษายน  พ.ศ. 2491  ตอนหนึ่งว่า

“หลักเมือง” เป็นประเพณีพราหมณ์  มีมาแต่อินเดีย ไทยตั้งเสาหลักเมืองขึ้นตามธรรมเนียมพราหมณ์ ที่จะเกิดหลักเมืองนั้น คงจะเป็นด้วยประชุมชน ประชุมชนนั้นต่างกัน ที่อยู่เป็นหมู่บ้านก็มี หมู่บ้านหลาย ๆ  หมู่รวมกันเป็นตำบล  ตำบลตั้งขึ้นเป็นอำเภอ  อำเภอนั้นเดิมเรียกว่าเมือง   เมืองหลาย ๆ  เมืองรวมเป็นเมืองใหญ่ ๆ  เมืองใหญ่ ๆ หลาย ๆ  เมืองรวมเป็นมหานคร คือเมืองมหานคร

ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับหอสมุดแห่งชาติ ก็เล่าเรื่องราวที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ทรงสถาปนากรุงเทพฯ ขึ้นเป็นนครหลวงแห่งใหม่ ก็ได้กล่าวถึงการตั้งเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ไว้ตอนหนึ่งว่า

“…จึงดำรัสสั่งให้พระยาธรรมาธิกรณ์ กับ พระยาวิจิตรนาวี  เป็นแม่กองคุมช่างและบ่าวไพร่ ไปกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก  ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง  ณ วันอาทิตย์เดือนหกขึ้นสิบค่ำ  ฤกษ์เพลาย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที่…”

ในการตั้งเสาหลักเมืองของไทยทุกเมืองนั้น  มิใช่ว่าจะเป็นเพียงเสาหลักเมืองหรือเสาไม้  เสาหิน  ธรรมดาต้นหนึ่งเท่านั้นก็หาไม่  แต่ความจริงนั้นในปลายเสาหลักเมือง  ซึ่งมักจะทำเป็นหัวเม็ดทรงมัณฑ์นั้น เขาจะบรรจุดวงชะตาของเมืองที่จะสร้างขึ้นใหม่ไว้ด้วย  การวางชะตาเมืองนี้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว  ซึ่งโหรหลวงจะต้องผูกชะตาเมืองถวาย  พร้อมกับทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองล่วงหน้าได้

มีเรื่องเล่ากันมาว่า

2

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  โปรดฯ ให้โหรผูกชะตาเมืองกรุงเทพฯ  ที่จะสร้างขึ้นใหม่นั้น โหรหลวงได้ทูลเกล้าฯ ถวายดวงเมือง 2 แบบคือดวงเมืองแบบหนึ่ง บ้างเมืองจะเจริญรุ่งเรือง  ไม่มีเหตุวุ่นวาย  แต่ทว่าจะต้องมีอยู่ระยะหนึ่ง ที่ประเทศไทยต้องตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ  ส่วนอีกดวงเมืองหนึ่งนั้น  ประเทศไทยจะมีแต่เรื่องยุ่งวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด  แต่ทว่าจะสามารถรักษาเอกราชได้ตลอดไป

ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ทรงเลือกดวงเมืองตามแบบหลัง  เพราะพระองค์คงจะทรงเห็นว่าการที่จะต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นนั้น  แม้บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองแค่ไหนก็ไม่ความหมายอันใด  เมื่อสิ้นความเป็นไทย

เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์อยู่ไม่น้อย  ที่ในสมัยในรัชกาลที่ 4 – 5  นั้น  บ้านเมืองต่าง ๆ  โดยรอบประเทศไทย ไม่ว่าลาว เขมร พม่า มลายู ต่างตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสและอังกฤษจนหมดสิ้น  แม้แต่ประเทศใหญ่อย่างอินเดีย  ก็ยังตกเป็นของอังกฤษ  มีแต่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่รักษาเอกราช  คงความเป็นไทมาได้  (แต่ก็อย่าเพิ่งลำพองใจนะครับ  ถึงไม่เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งทางกายภาพ  แต่ขณะนี้ไทยเราเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของฝรั่งเกือบ 70 – 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว)

เรื่องนี้อาจจะเนื่องมาจากดวงเมืองของกรุงเทพฯ ที่บรรจุอยู่  ณ ปลายเสาหลักเมืองก็เป็นได้ ?

สำหรับเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ นั้น เสาเดิมจะเป็นอย่างไร ก็คงไม่มีใครเคยเห็น  เพราะเหตุว่าได้มีการเปลี่ยนเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ กันครั้งหนึ่ง เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 ด้วยเสาหลักเมืองเดิมนั้นผุพังหมดสภาพไปนั่งเอง

เสาหลักเมือง ที่เปลี่ยนใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้  ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ต้นใหญ่มาก คือมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 30 นิ้ว สูง 108 นิ้ว  ตรงปลายเสาทำเป็นรูปหัวเม็ดทรงมัณฑ์ บรรจุดวงชะตาของกรุงเทพฯ ไว้ภายใน

แต่ทุกวันนี้  จะไปหาดูเนื้อไม้สักนิดก็ไม่เห็น  เพราะประชาชนผู้เคารพสักการะเสาหลักเมืองนั้น  ได้พากันปิดทองคำเปลว  จนกระทั่งเสาหลักเมืองอร่ามเรืองเป็นสีทอง ราวกับหล่อด้วยทองคำทั้งแท่งทีเดียว

เสาหลักเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีเรื่องเล่าว่านำสามเณร ชื่อ มั่น และ คงมาฝังทั้งเป็นพร้อมกับการตั้งเสา

1

อย่างเช่นเรื่องราวของการตั้งเสาหลักเมืองที่เพชรบูรณ์ เล่ากันมาว่าก่อนจะตั้งเสาหลักเมืองนั้น  เจ้าเมืองได้ป่าวร้องหาคนที่ชื่อ  มั่น  และ  คง  เพื่อจะนำตัวมาฝังพร้อมกับเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์  ปรากฏว่าไปเจอสามเณรพี่น้องสององค์ชื่อมั่นและคงตามที่ต้องการพอดี จึงให้นำสามเณรมั่นและสามเณรคง มาฝังทั้งเป็นพร้อมกับการตั้งเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ เพื่อให้บ้านเมืองมั่นคงตามเคล็ดที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณ

เรื่องนี้จะเท็จจริงประการใด  ไม่ขอยืนยัน  เพราะเป็นตำนานเก่าแก่ ที่ชาวเมืองเพชรบูรณ์เล่าสืบกันมา  แต่ก็น่าแปลกที่ว่า  ศาลหลักเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์ในทุกวันนี้ ทำเป็นสองหลังแฝดติดกัน เพื่อให้ตรงกับตำนานที่เล่ามาถึงสามเณรมั่นและสามเณรคงนั่นเอง

ในปัจจุบันนี้  เสาหลักเมือง  มักจะเป็นที่บนบานศาลกล่าว  ใครปรารถนาหรือต้องการอะไร  ก็ไปบนกับเจ้าพ่อหลักเมือง  เมื่อสมปรารถนาแล้วก็ไปแก้บน  อย่างที่เห็นอยู่ที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด  ก็มีการแก้บนกันทุกวัน  ทั้งด้วยหัวหมู  บายศรี  ของคาวหวาน  และละครชาตรี  หรือในต่างจังหวัดนั้น  นิยมบนบานถวายพาหนะให้เจ้าพ่อหลักเมือง  เมื่อสมคิดแล้วก็นำช้างไม้บ้าง  ม้าไม้บ้าง  ไปถวายเจ้าพ่อหลักเมืองเต็มศาลไปหมด  อย่างเช่น  ศาลหลักเมืองจันทบุรี  ก็มีช้างไม้ขนาดใหญ่น้อยเรียงรายอยู่เต็มหน้าศาลทีเดียว

ตำนานเหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงแท้เพียงใด แต่อย่างน้อยก็เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวเมืองที่อาศัยอยู่ เพื่อให้รู้ว่ากว่าจะสร้างบ้านเมืองได้นั้น ต้องสูญเสียไปมากเพียงใด 

ขอขอบคุณข้อมูล และเครดิตภาพจาก storyofsiam

แสดงความคิดเห็น